สัมผัสมรณะ ตอนที่6

สัมผัสมรณะ

สัมผัสมรณะ เสียงกระซิปชวนหลอน กับความสงสารที่นำมาสู่ความเจ็บปวดทั้งกายใจ และไร้หนทางที่ใครจะช่วยได้ นอกจาก…ชดใช้กรรม

สัมผัสมรณะ

เมื่อน้ำตาลกลับมาถึงบ้านก็ได้ทราบข่าวว่า พ่อใหญ่กาญล้มป่วยหนักโดยไม่รู้สาเหตุ และตอนที่ท่านเริ่มมีอาการคือตอนที่ท่านไปหารากยาในป่า พอนำตัวท่านส่งโรงพยาบาลทางคุณหมอได้ให้คำตอบกับทางญาติๆว่าท่าน เป็นไข้ป่า ในตอนนั้นทุกคนก็เบาใจ จนมาถึงตอนที่ท่านได้สติตื่นขึ้นมา พอใหญ่กาญก็เริ่มมีอาการแปลกๆไป ไม่เหมือนคนเป็นไข้ป่า ท่านเริ่มพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือพูดเรื่องเก่าๆในอดีตวนซ้ำไปซ้ำมา
รักษาตัวอยู่โรพยาบาลมาสักพักอาการของท่านก็ไม่มีอะไร นอกจากการพูดจาที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือไม่สามารถจับใจความได้ ทางโรงพยาบาลให้กลับบ้านได้ แต่พอกลับมาถึงที่บ้าน พ่อใหญ่กาญกลับมีอาการเหมือน คนโดนผีเข้า การพูดจาของพ่อใหญ่กาญเหมือนไม่ใช่ตัวท่านเอง บอกตามตรงว่าอาการของท่านดูน่ากลัวมาก ยิ่งกว่าในบทละครที่เคยดูในทีวี กว่าอาการท่านจะสงบลงได้ก็ใช้เวลาพอสมควร เพราะภรรยาของท่านซึ่งตามศักดิ์แล้วเป็นน้องสาวแท้ๆของคุณตาของน้ำตาลได้ไปเชิญ หมอทำ และครูบาอาจารย์ที่เรียนวิชาอาคมในระแวกนั้น และคนที่ทางครอบครัวให้ความนับถือมาดูอาการ
ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า โรคเวรโรคกรรม เพราะตอนนี้ถึงคราวเคราะห์ที่ของสายมือ ศาสตร์ดำ ย้อนเข้าตัวของพ่อใหญ่กาญแล้ว แต่ทางญาติๆโดยเฉพาะภรรยาของท่านเองที่ไม่ปักใจเชื่อ ถ้าบอกว่าพ่อใหญ่กาญ โดนทำของใส่ ท่านยังจะเชื่อเสียมากกว่า เพราะปกติพ่อใหญ่การเป็น หมอยาสมุนไพร หมอทำ หมอเป่า ที่รู้ดีกันว่าท่านเป็นสายขาว ไม่รับทำ คุณไสย หรือ ไม่ใช่สายดำ แต่ทางอาจารย์ของพ่อใหญ่กาญก็บอกว่าถ้าอยากรู้ความจริงก็ต้องรอทางพ่อใหญ่กาญได้สติก่อน

 

หลังจากนั้นหมอทำและบรรดาพระครู อาจารย์ผู้มีวิชาอาคมทั้งหลายก็ได้ทำพิธีตามความเชื่อทุกทาง เพื่อเรียกพ่อใหญ่กาญให้ได้สติ และสามารถสื่อสารได้รู้เรื่อง บอกเลยว่าช่วงเวลาเหตุการณ์ในตอนนั้นมีทั้งความวุ่นวาย ความน่ากลัว กับบรรยากาศอันน่าขนลุก มีกฎและข้อห้ามมากมายที่คนในครอบครัวจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อาทิ ห้ามสมาชิกในครอบครัวไปร่วมงานศพ ห้ามไปเยี่ยมหรือไปบ้านที่มีคนป่วย หลังตะวันตกดินห้ามออกจากตัวบ้าน
ไม่กินของที่ได้จากที่อื่น กลับข้าวกลับปลาต้องให้คนในครอบครัวที่สืบสายเลือดและภรรยาเท่านั้นที่เป็นคนหุงหาอาหาร หากกินไม่หมดห้ามเก็บไว้ต้องทิ้งเลย ไม่เก็บมากินต่อ ตัวของพ่อใหญ่กาญจะอยู่บ้านหลังที่อยู่ประจำไม่ได้ จะต้องมาอยู่ที่บ้านของลูกสาวคนโตซึ่งอยู่ติดกันถัดไป 2 หลังเท่านั้น ห้ามคนแปลกหน้ามาเยี่ยม ในตอนนั้นทุกคนก็ต่างกังวนใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ ในเมื่อพ่อใหญ่กาญท่านเป็น หมอสมุนไร หมอเป่า เรียนอาคมสายขาวมา และท่านจะรับค่าครูในการรักษาในแต่ละครั้งเพียง 9 บาทพร้อมพานดอกไม้ธูปเทียนเพียงเท่านั้น
แล้วจะเกิดการผิดพลาดจากตรงไหน หากจะบอกว่าท่านรับค่าครูเกินก็ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน หรือตอนท่านเข้าป่าทำอะไรผิดพลาดหรือข้ามขั้นตอนอะไรไปไหม ทางลูกเขยของท่านก็บอกว่าไม่น่าจะใช่ ท่านทำทุกอย่างปกติ ไม่มีข้ามขั้นตอนไหนอย่างแน่นอน

มีเพียงอาจารย์ของท่านที่เอ่ยคำๆนึงออกมาจนทำให้ทุกคนต้องตกใจ “มันกำลังรับผลกรรมที่มันทำผิดครู” ผิดครู คำนี้ญาติๆไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน ท่านประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม กฏระเบียบที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งคัดเสมอมา พอทุกอย่างเป็นแบบนี้ก็มีอยู่ทางเดียวว่าต้องรอท่านได้สติตื่นขึ้นมาก่อน
เมื่อพ่อใหญ่กาญฟื้นได้สติ ท่านเอาแต่นอนเงียบ และเหม่อ คนใกล้ชิดและหมอทำ อาจารย์เท่านั้นที่เข้าไปพูดคุย จากที่ยายนำมาถ่ายถอดให้ลูกหลานและญาติๆฟังคือ พอท่านฟื้นท่านก็เงีนบไป ไม่พูดจาถามอะไรก็ไม่ยอมตอบ จนพระอาจารย์ท่านได้ไปเตะที่ตัวของพ่อใหญ่กาญ ท่านก็กระพริบตาและมองดูผู้คนรอบๆข้างแก ก่อนที่ท่านจะยกมือพนมมือไหว้พร้อมกับน้ำตา ลูกได้ทำผิด ทำผิดครู ผิดต่อคำสัจสาบาน เข็มที่ทิ่มแทงขาเขา ตอนนี้ก็ทิ่มแทงกลับมา ตะปูที่ตอกตรงไหนก็ย้อนกลับมาที่ตัว ของต่ำที่ทำไว้กับทุกคนได้ย้อนมาที่ตัวของลูกแล้ว แต่เขาไม่ยอมให้ตาย เขาไม่ยอมให้ตายง่ายๆ หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้ให้ภรรยากับลูกคนโตออกมา เหลือเพียงอาจารย์ของพ่อใหญ่กาญและพระอาจารย์ที่ครอบครัวนับถือ ที่ยังอยู่ข้างในบ้านกับพ่อใหญ่กาญ
ในตอนนี้ยายก้อมเอาแต่ร้องให้เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ทั้งลูกหลานก็ไม่ต่างกัน เพราะทุกคนทราบดีว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ไม่มีทางที่พ่อใหญกาญจะกลับมาเป็นแบบเดิมได้ พูดง่ายไก็คือนอนรอวัน ตาย เท่านั้น….

หลังจากญาติๆนั่งรออยู่พักใหญ่ คนที่อยู่ด้านในกับพ่อใหญ่กาญก็ออกว่า พร้อมกับเร่องราวจากปากของพ่อใหญ่กาญเอง เริ่มต้นเดิมที่ทุกคนก็จะทราบดีว่าพ่อใหญ่กาญท่านเป็นหมอสมุนไพร เป็นหมอเป่า หมอทำ และรับแก้ของบ้าง พูดง่ายๆก็คือเป็น คุณไสยสายขาว ที่ไม่ทำเรื่องสายดำ ไม่เอาของต่ำ และรับค่าครูเพียง 9 บาท เท่านั้น ในเรื่องนี้ท่านไม่เคยทำผิดแต่อย่างใด
แต่…มีอยู่วันหนึ่งที่ท่านได้รับการร้องขอจากหลานสาวของท่านเองให้ช่วย ดูดวง และดูเรื่องสามีของเธอให้หน่อย เพราะตังเธอสงสัยว่าสามีเธอจะ โดนทำของใส่ ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด และหลังจากที่ท่านดูแล้วก็บอกทางหลานสาวไปว่า สามีของเธอนั้น โดนทำคุณไสย  จริง ๆ ได้ยินแบบนั้นแล้วทางด้านหลานสาวจึงขอให้พ่อใหญ่กาญช่วย แก้คุณไสย ให้สามีเธอท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
แก้คุณไสย เสร็จตัวของหลานสาวก็ได้ขอร้องให้ทำของกลับใส่ทางคนที่ทำใส่สามีของเธอ แต่พ่อใหญกาญก็ได้ปฏิเสธไป เพราะท่านไม่ใช้ศาสตร์สายดำ หรือพวก อวิทชา แต่หลานสาวก็ไม่ยอมย่อท้อ ยังมาขอร้องท่านอยู่ทุกวันแบบนั้น จนในท้ายที่สุดท่านก็ใจอ่อนและยอม ทำของ หรือ ทำคุณไสย ใส่กลับไปเล่นงานคนที่ทำใส่สามาหลานสาวเธอ ด้วยความสงสารหลาย จึงทำให้พ่อใหญ่กาญยอม ผิดครู แล้วนำอวิทชชามาใช้ เป็นครั้งแรก

ดังคำที่หลายๆคนเคยได้ยินกับคำที่ว่า มีครั้งแรกก็จะมีครั้งที่ 2 3 4 และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อคนใกล้ชิดมาขอร้องให้แก้ของ แก้คุณไสย หรือ ทำคุณไสย ท่านก็มีทำบ้างในบางกรณีที่ท่านเห็นว่าเป็นการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก แต่สิ่งที่พ่อใหญ่กาญรับค่าครูก็ยังคือ พานดอกไม้ธูปเทียน และ เงินค่าครู เพียง 9 บาทเท่านั้น
พอทุกคนทราบเรื่องราวทั้งหมดก็ต่างพากันร้องไห้เสียใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยความสงสาร เห็นใจ และอยากบรรเทาความทุกข์ร้อนของคนรอบข้าง จนนำมาสู่บทสรุปที่ไม่มีใครคาดคิดไว้ก่อน หากจะบอกว่าท่านทำเพราะต้องการมีเงินร่ำรวยนั้นก็ไม่ใช่เลย เพราะพ่อใหญ่กาญท่านก็ยังรับ ค่าขันครู เพียง9บาทเท่านั้น จากผู้ที่มีรอยยิ้มและความสุขเวลาเข้าป่าเพื่อหารากสมุนไพร ยาสมุนไพร และความสุขเมื่อเวลาที่ท่านออกจากป่ามาเจอครอบครัว
บัดนี้ทุกอย่างกลับมีแต่ความทุกข์และความโศกเศร้า ช่วงที่อาการของท่านแย่ลงลูกๆพาท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่หมอกลับบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ตรวจหาโรคอะไรไม่เจอ ท่านได้รับความทรมารอย่างแสนที่สุด ท่านบอกกับครอบครัวว่าไม่ต้องพาท่านไปรักษาตัวที่ไหน ให้ท่านอยู่ที่บ้านรอเวลาที่เขาปล่อยท่าน ทุกอย่างก็จะจบสิ้น
ในตอนนี้พ่อใหญ่กาญทำได้เพียงนอนยุบนผ้าปูที่ที่นอนที่เอาใบตองมารองอีกชั้น ท่านมีแผลตามร่างกาย มีหนอนชอนไชในแผล ต้องคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา ท่านทานอาหารไม่ได้เลย ขนาดน้ำเปล่าก็ยังกลืนแสนจะยากลำบาก ร่างการท่านผอมเหลือแต่กระดูก ที่สำคัญจะได้กลิ่นออกจากร่างการของท่านเหมือน กลิ่นศพ ตัวของท่านเองก็ไม่ปฏิเสธท่านบอกว่าท่านคือศพที่ยังมีลมหายใจ เพราะเขาต้องการให้รับความเจ็บปวดทรมาน ไม่ยอมให้ท่านตายง่ายๆ
ในวันที่น้ำตาลไปเยี่ยมท่านครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ท่านอาการแย่มากแล้ว ท่านให่คนเข้าไปหาท่านได้เพียงไม่กี่คน ส่วนน้ำตาลเองก็อยู่ได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ แต่สัมผันได้เลยว่าที่บ้านหลังนี้เต็มไปด้วย แรงอาฆาต วิญญาณร้าย ที่รอคอยวันเอาคืน พ่อใหญ่กาญบอกกับยายของน้ำตาลว่าอย่าให้น้ำตาลยุ่งกับของพวกนี้เด็ดขาด สัมผัสมรณะ แค่น้ำตาลเข้าไปไกลเพียงนิดก็จะนำพาความวิบัติมาสู่ตัวเองและคนรอบข้าง
แต่ท่านก็ทิ้งท่ายไว้ว่า เรื่องบุญกรรมวาสนา โชคชะตา เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น แต่สามารถหลีกเลี่ยงให้น้อยลงได้ ยายของน้ำตาลจึงนำเรื่องนี้มาบอกกับน้ำตาล จริงๆน้ำตาลก็ไม่คอยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายามทำความเข้าใจ

 

หลังจากนั้นไม่ถึง 7 วัน พ่อใหญ่กาญก็ได้สิ้นลมจากโลกนี้ไป จบสิ้นของความทุกข์ทรมานที่ท่านแบกรับมาตลอดหลายเดือน ก่อนท่านจะหมดลมท่านพูดพอจะจับใจความได้ว่า เขามากันครบแล้ว เขามารอรับกันพร้อมหน้า อะไรที่เคยทำให้เขาทุกข์ทรมานวันนี้ตัวท่านได้รับรู้หมดแล้ว ท่านขอโทษ ก่อนจะพนมมือขึ้นไหว้เหมือนคนแรงหมด และสิ้นลมไปในที่สุด ในวันถัดมาญาติๆก็ได้ทำการเผาศพของท่านทันที แต่ใช้การเผาแบบโบราณ ไม่ได้เอาไปเผาในเมรุเหมือนคนปกติ

 

…หากวันหนึ่งคุณได้ก้าวขาเข้าไปในวงเวียนของ คุณไสย ต่อให้ท่านจะทำด้วยเจตนาดีหรือทำด้วยความสงสารเมตตา สุดท้ายแล้วผลของการเข้าไปมีส่วนร่วมในกรรมของคนผู้นั้นก็จะติดตัวเรามาด้วย
หากผู้ใดรู้ตัวเองว่ากำลังประสบพบเจอกับเรื่อง อวิชชา เรื่องการทำคุณไสย สิ่งที่ท่านจะต้องทำคือ มีสติ ตั้งมั่นอยู่ในศิลในธรรม ทำบุญนั่งสมาธิ และอโหสิกรรมให้คนที่ไม่หวังดี และเจ้ากรรมนายเวร หากเป็นเช่นนี้ ของต่ำ สิ่งชั่วร้าย ทั้งหายก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้ สุดท้ายมันก็จะย้ินกลับไปเล่นงานคนที่ทำ ไม่ต้องไปเจ็บใจแค้น อย่าไปพยาบาทจองเวรจองกรรม ไม่เช่นนั้นบ่วงกรรมก็จะตามมาวนเวียนให้ต้องชดใช้กันไปไม่รู้จบ….