รับขันธ์ รับกระถางธูป เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลางหรือ ร่างทรง คนทรง การรับขันธ์ คือการเปิดประตูให้เทพองค์นั้น ๆ เข้ามาสู่ตัวเรา เพื่อใช้กายของเราปฏิบัติภารกิจต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน และกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม
การรับขันธ์ เป็นพิธีกรรมตามความเชื่อของคนหลายๆภูมิภาค และหลากหลายเชื้อสาย ตามแต่ถิ่นกกำเนิด ซึ่งพิธีวิธีการ รับขันธ์ นั้นจะขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่ทุกความเชื่อจะสามารถอธิบายได้เหมือนๆกันคือ การยินยอมให้ องค์เทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผีปู่ย่า ผีเชื้อสาย หรืออื่นๆ สามารถใช้ร่างกายของผู้ที่ทำการรับขันธ์แล้วในการเป็นตัวกลาง เพื่อสื่อสารกับบุคคลอื่น เพื่อการบางอย่าง
ซึ่งผู้ที่จะสามารถรับขันธ์ได้เราจะเรียกกันว่า เป็นผู้ถูกเลือก เลือกให้เป็นตัวกลางเพื่อสื่อสาร ร่างทรง คนทรง หมอดู เจ้าแม่ เจ้าพ่อ ต่างๆ ก็จะผ่านการทำพิธีไหว้ครูรับขันธ์ครูมาก่อน และส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกเลือกแล้วมักจะต้องยอมรับ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของเทพองค์นั้นๆที่ตนเองรับขันธ์มา
เชื่อว่าหลายคนคงเคยไปดูหมอดูตามสำนักต่างๆ หรือดูหมอกับร่างทรงกันมาบ้าง ซึ่งจะเห็นว่ามีบางสำนักจะให้เราเข้าไป รับขันธ์ เพื่อให้หายจากโรคที่เรากำลังเป็นอยู่บ้าง หรือเพื่อให้เราสมความปรารถนาในสิ่งที่เราต้องการบ้าง แต่เชื่อว่ายังมีคุณผู้อ่านอีกหลายท่านไม่รู้ว่าการ พิธีรับขันธ์ คืออะไร ทำไมต้องรับขันธ์ รับแล้วจะมีผลอะไรต่อชีวิตเราบ้าง วันนี้ คมชัดลึกออนไลน์ จะพาไปหาคำตอบกันค่ะ
โดยคำว่า ขันธ์ ในทางศาสนานั้นเป็นส่วนหนึ่งของการที่เรานั้นแยกออกมาเป็น 5 กอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเรียกได้ว่า ขันธ์ 5 หรือขันธ์ทั้ง 5 นั่นก็คือร่างกายกับจิตใจของเรานั่นเอง
การ รับขันธ์ครู หมายถึง การที่เราสร้างพันธะสัญญายินยอมให้ผู้หนึ่งผู้ใดมีสิทธิ์ในขันธ์ 5 ของเรา โดยมีสิทธิ์จะทำการใดกับเราก็ได้ผ่านขันธ์ 5 นี้ แม้แต่จะถ่ายกรรมชั่ว หรือการให้เรารับกรรมแทนทั้งที่ไม่ใช่เวรกรรมของเรา แต่เกิดจากเรารับเวรกรรมแทนผู้อื่น
พิธีการ การรับขันธ์ คือการนำภาชนะ พร้อมกับเครื่องบูชาต่างๆ อย่างเช่น ดอกไม้ ธูป เทียน ห่อด้วยใบตอง หรือไม่ห่อ ตามที่ครูนั้นบอกซึ่งก็แล้วแต่ว่าสำนักไหนนั้นจะต้องการแบบไหน ซึ่งโดยแต่ละพานนั้นจะมีเครื่องหมู่บูชาเหล่านี้เสมือนกับเป็นขันธ์ 5 ของเรา เมื่อเรานำไปถวายให้ใครที่เราต้องการจะเป็นลูกศิษย์ เสมือนเป็นการบอกว่า เรานั้นมอบกายถวายชีวิต ให้กับผู้นั้นแล้ว โดยทั่วไปนั้นการที่เราจะไปถวายตัวเป็นศิษย์ ครูบาอาจารย์นั้นก็ต้องบอกเกี่ยวกับข้อห้าม ข้อกำหนด ของแต่ละสำนักให้กับลูกศิษย์รับรู้
ทีนี้เราต้องกลับมาถามตัวเองว่าหากเรารับขันธ์จากที่ใดก็ตาม เราต้องดูให้ดีว่าคนที่จะ รับขันธ์5 นั้นเป็นคนที่มีคุณธรรมหรือไม่ เพราะว่าคนที่แต่งชุดขาว แต่ไม่รักษาศีลก็มีอยู่มาก ถ้าหากว่าเราไปรับขันธ์จากคนที่ไม่มีคุณธรรม เพราะเขาต้องการที่จะมีบริวารเอาไว้ และในขันธ์นั้นก็อาจจะมีสิ่งที่อัปมงคล ซึ่งอาจจะนำพาความตกต่ำมาสู่ชีวิตของเราได้เช่นกัน
แต่พิธีการ รับขันธ์ร่างทรง แบบเฉพาะเจาะจงก็มีอยู่หลายแบบ หลายกรณีเช่นกัน เชื่อกันว่าทุกคนที่เกิดมาจะมี เทพประจำตัว คอยคุ้มครองปกป้องรักษา ให้เราอยู่ดีมีสุขไม่มีสิ่งชั่วร้ายมาทำอันตราย แต่ก็ใช่ว่าเทพทุกองค์จะต้องการที่จะ ทรงร่าง ของบุคคลทุกคน การจะเป็น คนทรง หรือ ร่างทรง จะต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพองค์นั้นๆ ให้ปฏิบัติตามภารกิจ หรือคำสั่งที่ได้รับ เป็นสื่อกลางเพื่อการสื่อสารที่ถูกต้อง
ใช่ว่าเมื่อรับขันธ์ทรงไปแล้วจะต้อง เป็นร่างทรง เสมอไป เพราะในบางกรณีก็เป็นการรับตามธรรมเนียมเพื่อให้เพทองค์นั้นๆมา บูชา หรือ สถิตอยู่กับตัว แต่ไม่ได้ทรงก็ได้ แต่คนที่รับขันธ์ทรงมาแล้วจะต้องทำการบูชา ให้ความเคารพ และกราบไว้บูชา อาจจะมีการ บริกรรมคาถา บางอย่างร่วมด้วย หรือ ของเซ้นไหว้ ที่เฉพาะเจาะจง
การรับขันธ์จะมีทั้งแบบถูกเลือก และเป็นแบบสืบเชื้อสาย แบบสืบเชื้อสายก็จะเป็นการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น บางครั้งอาจจะมีการข้ามรุ่นอยู่บ้างแต่ก็สามารถพบเห็นได้ หรือบางความเชื่อของทองถิ่นที่ผู้ที่สืบสายเลือดทุกคนจะต้องรับขันธ์ หรืออาจจะเฉพาะเจาะจงไปเลยว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
เชื่อหรือไม่ว่าพิธีการรับขันธ์ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป บางครั้งคำว่ารับขันธ์ที่เข้าใจอาจจะเป็น อวิชชา หรือสิ่งชั่วรเายก็มี แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยเราก็มี ความเชื่อในเรื่องของ การทรง เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายใด อาทิ ชาวอีสาน ที่มีความเชื่อเกี่ยวกับ ผีฟ้า ชาวเขมร ที่มีความเชื่อในเรื่องการสืบเชื้อสายของ มม๊วด (มะ-ม๊วด) ทางภาคใต้ก็จะมีการนับถือ ครูมะโนราห์
วันนี้ Mebelief.Com จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการ รับขันธ์ทรง การรับกระถางธูป มาเล่าสู่ทุกท่านได้ฟังกัน เมื่อผู้ถูกเลือกพยายามหนี้ความจริงไม่ยอมรับขันธ์ครู เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็น ร่างทรงองค์เทพ หรือ คนทรงเจ้า นำมาซึ่งความเจ็บปวดและวุ่นวายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ต้อม ชายหนุ่มหน้าตาดีร่างกายเป็นชายแต่มีบุคลิกที่ดูอรชรอ้อนแอ้น ในตอนนั้นอยู่ในช่วงวัย ม.5 จะขึ้น ม.6 ได้ไปเที่ยวงานประจำปีของทางจังหวัดที่จัดขึ้น ด้วยเห็นว่ามีอยู่ตรงจุดหนึ่งที่มีคนยืนมุงยืนออกันเยอะมาก ต้อมจึงได้ลองเดินผ่านไปดู แต่ด้วยจำนวนคนที่เยอะมากจึงทำให้เขามองไม่เห็นอะไร เลยคไม่คิดจะยืนรอหรือไม่คิดจะเบียดฝูงชนเข้าไป แต่ในขณะที่ต้อมกำลังเดินไปทางอื่นเพื่อเที่ยวชมงาน กลับมีเสียงเรียกพร้อมกับผู้คนแหวกทางเดิน ทำให้ต้อมเจอผู้ที่กลางฝูงชน
คนผู้นั้นคือ ร่างทรงเจ้าพ่อหลักเมือง ท่านได้เรียกต้อมเข้าไปหา และเอ่ยกับต้อมว่า เมื่อเจ้าอายุครบ 18ปี เจ้าจะต้องรับขันธ์ครู ตอนนั้นต้อมก็ไม่ได้คิดอะไรก็เฉยๆเพราะไม่ได้เชื่อเรื่องแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เพื่อนๆที่ไปด้วยกันต่างก็เชื่อเพราะในงานคนตั้งมากมายที่ล้อมรอบท่านไว้ พวกเขาแทบจะไม่เห็นตัว ร่างทรงพ่อหลักเมือง ด้วยซ้ำทำไมท่านถึงเรียกชื่อของต้อม ทั้งชื่อเล่น ชื่อจริงและนามสกุลอย่างถูกต้อง เรื่องนี้เป็นเรื่อง น่าเหลือเชื่อ สำหรับเพื่อนๆทุกคน
วันเวลาผ่านไปจนต้อมอายุได้ 18ปี เต็ม เริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง ต้อมมักจะฝันถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆว่ามีคนจะมาอยู่ด้วย แต่ทุกครั้งต้อมก็ได้ปฏิเสธไป นอกจากนี้ต้อมก็เริ่มเห็นและ สัมผัส เรื่องเหนือธรรมชาติ วิณญาณ ผีและเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า โดยที่ตัวของเขาไม่ได้พยายามหรือนั่งสมาธิอะไรเลย
จนเขานึกถึงคำพูดของ ร่างทรงเจ้าพ่อหลักเมือง ที่ทั้งในปีก่อนได้ว่า เมื่ออายุคร 18 จะต้อง รับขันธ์ทรง แต่ในเวลานั้นต้อมไม่ต้องการที่จะเป็น คนร่างทรง เขาอยากเป็นคนธรรมดา จึงไม่ยอมรับขันธ์บูชาแต่อย่างใด ถึงแม้ในเวลานั้นจะมีคนทักท้วงต้อมหลายต่อหลายคนก็ตาม ในช่วงเวลานั้นต้อมเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อย ต้องล้มหมอนนอนเสื่อเป็นว่าเล่น แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับ พ่อแม่ของต้อมขอร้องยังไงต้อมก็ไม่ยอม
ในที่สุดต้อมจึงหนีเข้ากรุงเทพมหนคร เพราะคิดว่าหนีมาใกล้แบบนี้ทุกอย่างก็คงจะจบ แต่ไม่ใช่เลย เหตุการณ์ยิ่งร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้อมต้องอยู่ระหว่างความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง จนครั้งสุดท้ายที่ต้อมตัดสินใจกลับบ้านมา รับขันธ์ทรง เพราะต้อมเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ และก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุณ์นั้นภาพที่ต้อมเห็นคือคนเดิมที่ต้อมเจอมาตลอด อบัติเหตุครั้งนี้ทำให้อาการต้อมสาหัส และไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
กระทั้่งพ่อแม่ของต้อมทำเรื่องย้ายต้อมจากโรพยาบาลกรุงเทพมาอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัดบ้านเกิด และต้อมยอมทำการ รับขันธ์ทรง ไม่ถึง 3 วันอาการของต้อมที่ไม่น่าจะรอดก็หายเป็นปกติ ต้อมจึงเริ่มเชื่อในเรื่องนี้มากขึ้น หลังจากทำการรับขันธ์ครู ต้อมก็ไหว้บูชาและ เป็นคนทรง มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
ชีวิตการเป็นคนทรงจะว่ายากลำบากก็ได้ จะว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็ไม่เชิง แต่สิ่งสำคัญเลยคือการรักษาศีล รักษากฏระเบียบ ไม่ลืมการเซ้นไหว้บูชาองค์เทพของตน ต้อมจะพูดกับคนที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับเขาเสมอว่า เมื่อถูกเลือกแล้ว ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวสุดท้ายก็หนีไม่พ้น ถ้าไม่พร้อมที่จะเป็นร่าง ทรงเจ้า ก็แค่รับขันธ์บูชา แต่ไม่รับทรงก็ได้เช่นกัน เรื่องพวกนี้ขึ้นอยู่กับเวรกรรมโชคชะตา เมื่อมีโอกาสได้ช่วยเหลือผู้อื่นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็ไม่ควรที่จะลบหลู่หรือดูแคลนผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธาเช่นกัน
แล้วคุณหละ? เชื่อหรือไม่ว่าการรับขันธ์เป็นร่างทรงเป็นเรื่องจริง….