สัมผัสพิศวง ความน่ากลัวของสิ่งลี้ลับ ตอน4

สัมผัสพิศวง

สัมผัสพิศวง ความน่ากลัวของสิ่งลี้ลับ ตำนาน ความเชื่อ ที่หาคำอธิบายไม่ได้ ถึงจะไม่เชื่อแต่ผู้ใดก็ไม่ควรที่จะลบหลู่

สัมผัสพิศวง

เรื่องเล่าจากบรรพบุรุษ…
ปู่ย่าของน้ำตาลถ้าให้พูดถึงเรื่องฐานะในสมัยนั้นก็ว่าเป็นครอบครัวที่พอมีพอกิน มีคนนับหน้าถือตามากมาย ปู่จันจะเป็นคนที่ชอบออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ และท่านจะมี คาถาอาคม ติดตัวมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปู่จันเป็นน้องคนเล็กในบรรดาพี่น้องทั้งหมด นามสกุลของท่านก็ถือว่ามีเยอะที่สุดในตำบลนี้เลยก็ว่าได้
ถ้าเป็นในสมัยก่อนการนับเครือญาติกันค่อนข้างจะซับซ้อนมาก แต่คนในสมัยนั้นจะให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากเช่นกัน
ด้านปู่จันท่านจะมี วิชาอาคม ที่ติดตัวไว้ป้องกันภัยอันตรายเวลาท่านต้องออกเดินทางไปที่ต่างๆ และอีกสิ่งที่ท่านมีติดตัวนั่นก็คือเรื่อง สมุนไพรรักษาโรค แกมักจะทำยาสมุนไพรไว้ใช้เอง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ยาลูกกอก นั่นเอง หากมีเวลาว่างท่านก็จะทำเก็บไว้เสมอ
นอกจากนี้ท่านยังถือเป็นคนที่มีวิชารักษาโรคที่ทางภาคอีสานเรียกกันว่า หมอเป่า เป็นภูมิปัญญาการแพทย์พื้นบ้านที่รักษาโรคด้วยการ เป่าคาถา ซึ่งสืบทอดความรู้มาจากบรรพบุรุษ และโรคที่เชื่อว่าสามารถรักษาได้ ส่วนใหญ่เป็นโรคผิวหนัง ได้แก่ แผลสัตว์กัด เหลือการเป่าเรียกขวัญ เป็นต้น
จะว่าไปพ่อใหญ่กาญท่านเองก็มีความรู้ในด้านนี้เช่นกัน เรียกว่าในสมัยนั้น หมอเป่า มีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเป็นการสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น หรือคนที่สนใจจะเรียน คาถา ศาสตร์นี้ก็สามารถเรียนได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่จะสอนด้วย ว่าคนๆนั้นมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเรียนหรือไม่
ส่วนค่าครูในการรักษาก็จะขึ้นอยู่กับสายอาจารย์ท่านนั้นๆ จะมีตั้งแต่ 1 บาท 9 บาท หรือมากกว่านั้น หากคนที่รักษากับ หมอเป่า คนใดก็จะมีการเตรียมขันครู ธูป เทียน ดอกไม้ และที่ขาดไม่ได้คือ ค่าครู ผู้ที่มารักษาจะต้องจ่ายค่าครูตามที่ทางหมอรักษาบอก และตัวของหมอเป่าที่ทำการรักษาจะต้องเก็บค่าครูตามจำนวนที่ท่างครูบาอาจารย์ของตนเองที่เคยสอนมาด้วย หากหมอเป่าท่านใดทำผิดกฎหรือเก็บ ค่าครู เกินกว่าที่ได้รับมาจากครูบาอาจารย์ของตนเองที่ได้กำหนดไว้ ก็จะเป็นการทำผิด หรือที่เราเรียกกันว่า ผิดครู
การที่ผู้ใดได้ปฏิบัติตนไม่อยู่ในกฏระเบียบ ทำผิดครู ก็จะได้รับผลของการกระทำที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้น ก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แล้วแต่ว่าเรียนมาจากท่านใด เป็นสายไหน หรือบ้างก็จะเป็นไปตามคำสาบานที่เคยให้ไว้ก่อนเริ่มเรียนวิธี
หรือบางรายที่มีวิชา คาถาอาคม ที่สูงหน่อยก็อาจจะถึงขั้นของเข้าตัวเองได้เลย แต่ที่พบเจอบ่อยๆก็จะเป็น คาถาอาคมเสื่อมลง หรือที่เขาเรียก ของเสื่อม นั่นแหละ ศาสตร์นี้มีไว้เพื่อป้องกันอันตรายเพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้คน
ผู้ที่มีวิชาคาถาอาคมหรือ เล่นของ แน่นอนว่าจะต้องมีการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกฏระเบียบของครูอาจารย์ของตนเอง ที่สำคัญจะต้องอยู่ในศีลในธรรม ไม่ประพฤติผิดหรือลบหลู่ครูอาจารย์ของตนเอง เท่าที่น้ำตาลเคยผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่าในสมัยก่อนนั้น วิชาอาคมเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะเรียนไว้เพื่อป้องกันตนเองและทรัพย์สินของตนเอง วิชาก็แบ่งเป็นหลายประเภท ทั้งให้คุณ และให้โทษ อย่างเช่น ศาสตร์มืด ซึ่งก็มีคนสนใจมากในสมัยยนั้น เพราะศาสตร์สายขาวที่ไว้ใช้รักษาโรค ปกป้องคุณครองคนและครอบครัว เป็นเพียงการป้องกัน เอาตัวรอด ต่างจากศาสตร์มืดที่สามารถยั่วยุให้ผู้คนเหล่านั้น อยากได้อยากมี อยากอยู่เหนือทุกสิ่ง
เชื่อหรือไม่ว่าในอดีตมีแม้กระทั้ง วิชาเรียกเงินทอง วิชาเรียกข้าวเต็มยุ่ง วิชามหาเสน่ห์ หรือแม้แต่วิชาทำคุณไสย ทำเสน่ห์ทำของเรียกวิญญาณเลี้ยงผี เรียกอีกอย่างว่า อวิชชา ซึ่งวิชาเหล่านี้ทำให้เจ้าของที่ได้เรียนสำเร็จไม่มีวันอด มีเงินมีทองใช้ไม่มีสิ้นสุด สามารถมีอำนาจหรือชี้เป็นชี้ตายให้ผู้อื่นได้
แต่โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ทุกอย่างก็ต้องมีราคาจ่ายเสมอ ทุกศาสตร์จะต้องมีกฎข้อบังคับที่แตกต่างกัน แต่คนที่เรียน ศาสตร์มืด ก็จะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนกลับคืนให้ อวิชชา นั้นๆเสมอ และผู้สำเร็จวิชาจะต้องรักษาข้อปฏิบัติอย่างเคร่งคัด หากประพฤติตนผิดหรือดูแลของที่บูชาไม่ดีแล้วนั้น ชีวิตจะต้องพบจุดจบอย่างสาสมเช่นกัน

เมื่อผู้ที่เลือกทางศาสตร์มืดก็จะต้องมีการบูชาครู เลี้ยงผี เซ้นไหว้ให้ดี แต่ถ้าเมื่อใดที่เซ้นไหว้ไม่ดีวิญญาณ ผี หรือ ของ ที่มีอยู่ก็จะออกมาหากินเอง หรือย้อนเข้ากับตัวคนบูชาเอง ไม่เป็นบ้า ก็หนีไม่พ้นการเป็น ปอบ ผีปอบเป็นได้ทั้งผู้หญิงผู้ชายและมีหลายประเภท
ยายของน้ำตาลเคยเล่าให้ฟังว่าคนสมัยก่อนเขาทำของใส่กันเป็นเรื่องง่ายดายมาก มีทั้งที่แก้ของได้และแก้ไม่ได้ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวของผู้ถูกทำของใส่ด้วย หากอยู่ในคราวเคราะห์ก็อยากที่จะแก้ไขได้  การเสน่ห์คุณไสยเองก็มีให้เห็นได้บ่อย แต่สุดท้ายทั้งคนทำและคนที่โดนทำของใส่ก็อยู่ได้ไม่ยืน ไม่ใช่ว่าแยกกันหรือความรักจางหาย แต่เป็นเพราะการที่ทำเช่นนั้นเป็นการใช้วิญญาณร้ายมาคอยควบคุมจิตใจและร่างกาย คนที่โดนทำของใส่หากแก้ไม่ทันก็จะตายในที่สุด ส่วนคนที่เป็นคนทำก็หนีเวรกรรมนี้ไม่พ้น
อีกความน่ากลัวของ อวิชชา พวกนี้ก็คือในทุกวันพระคนที่มีของจะต้องปล่อยวิชาอาคมและวิญญาณภูติผีที่เลี้ยงไว้ออกจากตน เพราะไม่เช่นนั้นธาตุไฟของเจ้าตัวจะแตก หรือของจะเข้าตัว นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า วันปล่อยของ หรือ ลมเพลมพัด หากใครที่อยู่ในช่วงดวงตก ช่วงคราวเคราะห์ไม่ดีมาเจอเข้ากับสิ่งเหล่านี้ นั่นหมายถึงหายนะได้มาถึงตัวแล้ว
ถ้าในสมัยก่อนช่วงวันพระวันโกนจะรู้กันดีว่าไม่ควรออกจากบ้าน พอตะวันตกดินก็ต่างจะรีบเข้านอนแต่หัวค่ำเลย และเป็นปกติที่ในคืนวันพระวันโกนจะได้ยินเสียงหมาเห่าหอนโหยหวน จนเรียกได้ว่าแค่ได้ยินก็ชวนขนหัวลุกเลย

 

 

เห็นอย่างนี้แล้วก็ยังมีกลุ่มคนที่ชอบลองของ อยากลองดีอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีใครสามารถต่อกลอนกับวิญญาณร้ายเหล่านี้ได้ เพราะมันเป็นวันที่พวกมันมีพลังหรือมีฤทธิ์มากกว่าปกติ และคำที่น้ำตาลจะได้ยินคำเตือนจากปู่ย่าและผู้เป็นยายตั้งแต่จำความได้คือ เวลาไปเจอกระบอกไม้ไผ่ ไห ผ้ายันต์ ห่อผ้า ไม่ว่าจะอยู่ตามโพลงต้นไม้ ถูกฝังอยู่หรือมีคนเอามายื่นให้กับมือ ก็ห้ามไปเตะต้อง ที่สำคัญอย่าเปิดออกเด็ดขาด
เพราะสิ่งของเหล่านั้นคือศาสตร์ดำ ของต่ำ วิญญาณร้าย ที่โดนเจ้าของเอามาทิ้ง หรือเอามาซ่อนไว้ หากใครไปสัมผัสหรือไปเปิดออกก็จะเป็นการปลดปล่อยให้พวกมันเป็นอิสระ น้ำตาลจำคำเตือนเหล่านี้ได้ดี และยิ่งเธอเป็นพวกที่ชอบเห็นและได้ยินอะไรที่ไม่ใช่เรื่องปกติอยู่แล้วด้วย หรือจะบอกว่ามันเป็น สัมผัสพิศวง หากอยู่ใกล้ของพวกนี้น้ำตาลจะโดนเรียกให้เข้าหาพวกมันได้ง่าย
ถ้าถามว่าช่วงนี้น้ำตาลไม่เจอเรื่องราวอะไรแล้วใช่ไหม? คำตอบคือเจอจนเป็นเรื่องปกติ ทุกวันพระน้ำตาลจะเห็นคนที่ไม่รู้จักและคนที่ตายไปแล้วมายืนอยู่หน้าบ้านของยายเสมอ แต่พวกเข้าไม่ได้เข้ามาในบริเวณบ้าน น้ำตาลจะชอบไปยืนดีที่หน้าต่าง จนมันเป็นความเคยชิน ผู้เป็นยยายก็จะบอกให้น้ำตาลสวดมนต์หน้าหิ่งพระ และให้ตื่นไปใส่บาตรในตอนเช้า เธอจะทำแบบนี้เสมอ
แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ในช่วงเวลานั้นเธอรู้สึกกลัวมาก เรื่องมันเริ่มจากที่เธอและพี่น้องที่เป็นญาติกันชวนกันไปเล่นน้ำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับบ้านนักน้ำตาลว่ายน้ำไม่เป็นเธอเลยนั่งที่ริมสระเอาแค่ขาหย่อนลงไปในน้ำ พี่น้องคนอื่นก็เล่นน้ำกันตามปกติ แต่อยู่ๆเธอก็ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนซึ่งฟังแล้วเป็นเสียงผู้หญิง น้ำตาลพยายามเอียงหูฟังว่าเธอคนนั้นพูดอะไร แต่อยู่ๆเธอก็ตกลงไปในน้ำเธอพยายามใช้มือและขาตีน้ำเพื่อให้พอลอยตัวได้ หรืออย่างน้อยคนอื่นก็จะได้เห็นและช่วยเธอได้…
ตัดภาพมาที่คนอื่นๆที่เล่นน้ำกันอยู่และเตรียมขึ้นฝั่งเพื่อกลับบ้าน พี่ชายที่เป็นลูกป้าก็ถามหาน้ำตาลว่าหายไปไหน เขาเลยหันไปถามน้ำค้างน้องที่อายุน้อยที่สุดที่นั่งอยู่ริมฝั่ง แต่น้ำค้างให้คำตอบว่าน้ำตาลเดินกลับไปแล้ว แต่เรียกถามก็ไม่ตอบอะไรเลย ด้วยความตกใจของทุกคนปนกับความสับสนจึงแบ่งกันว่าให้ 2 คนกลับไปดูที่บ้าน ส่วนที่เหลือลองเดินตามหาบริเวณนี้ดู
คนที่กลับไปถามที่บ้านได้ความว่าน้ำตาลไม่ได้กลับมานะ ด้วยความกลัว 2 คนนั้นจึงสารภาพกับผู้ใหญ่ไปว่าพากันแอบไปเล่นน้ำมา แล้วตอนนี้ไม่เจอน้ำตาลเลยพากันตามหา เมื่อได้ยินแบบนั้นทุกคนเลยช่วยกันตามหากันวุ่นวาย แม่ใหญ่หมายเจ้าของสระที่เด็กๆไปเล่น ซึ่งสระนี้ก็อยู่หลังบ้านยายหมายเอง เลยบอกให้ลองงมหาในสระดู คนทั้งคนจะหายไปไหนได้ พอช่วยกันดำผุดดำไหว้อยู่ไม่ถึง 2 นาที ยายหมายก็เดิมกลับมาพร้อมกับธูปเทียน ก่อนจะนั่งลงไหว้ทำปากพึมพำแล้วปักธูปไปยังต้นไม้ต้นนึงตรงริมสระ
ผ่านไปอึดใจเดียวก็เจอร่างของน้ำตาล พี่ปลายเป็นคนพบร่างเธอก่อนจะนำขึ้นมาและทำการปฐมพยาบาล ทำ CPR ในที่สุดก็สามารถช่วยชีวิตน้ำตาลได้ แต่เป็นเรื่องน่าประหลาดที่น้ำตาลรอดมาได้ เพราะถ้าให้นับช่วงเวลาที่ตามหาเธอก็เป็นเวลาเกือบชั่วโมง แต่ทุกคนก็ไม่อยากคิดอะไรมากแค่ไม่เป็นอะไรก็ดีมากแล้ว ในตอนนั้นผู้ใหญ่ต่างก็ไหว้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันโดยต่างคนต่างไหว้ เหมือนอาการของการโล่งใจซะมากกว่า

 

ด้านน้ำตาล….หลังจากที่เธอได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกในน้ำ เธอบอกว่าก็มีคนดึงขาเธอลงไปในน้ำ เธอพยายามจะว่ายน้ำพยายามจะลอยตัว และร้องเรียกคนอื่นๆที่อยู่บนฝั่งและที่กำลังเล่นน้ำอยู่ตรงริมๆฝั่งที่มันไม่ลึก แต่ภาพที่น้ำตาลเห็นคือทุกคนเหมือนไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงร้องของเธอ พอเธอมองที่ขาที่รู้สึกว่ามีคนดึงทึ้งเธออยู่ก็ต้องตกใจ เพราะผู้หญิงที่เธอได้ยินเสียงเรียกและดึงเธอมานั้นจ้องมาที่เธอด้วยดวงตาสีแดง!!!
ผู้หญิงคนนั้นแต่งกายเหมือนคนสมัยก่อน ผิวขาวซีด และทำท่าทางเหมือนโกรธแค้นเธอ สิ่งที่น้ำตาลได้ยินชัดเจนเลยคือ “มึงต้องไปอยู่กับกู!!!” หลังจากนั้นน้ำตาลก็รู้สึกว่ามือเธอถูกใครบางคนดึงอยู่ ต่อมาก็เป็นเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้น ไมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม่
เมื่อได้สติน้ำตาลก็เล่าให้ทุกคนฟังทั้งหมด และสิ่งที่น่าแปลกใจคือจุดที่พี่ปลายเจอน้ำตาลคือ ตรงจุดที่น้ำตาลนั่งหย่อนขาซึ่งก็อยู่ติดริมฝั่ง ทั้งที่วนหากันตรงนั้นเป็นจุดแรกแต่ทำไม่ถึงไม่เจอ แต่พอยายหมายจุดธูปไม่นานก็เจอ ผู้เป็นยายเลยบอกว่าจะอะไรได้อีกหละเพราะ ผีบังตา !!!