ผีกระสือ ตำนานผีโบราณที่มีแต่หัวลอยลากไส้ พร้อมอวัยวะภายใน และเคี้ยวฟันที่พร้อมจะกัดฉีกสิ่งมีชีวิตแบบสด ๆ ในเวลาค่ำคืน
กระสือ มีหลากหลายความหมาย โดยสำนักงานราชบัณฑิตยสภา ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ว่า กระสือ ไว้ 3 ความหมายคือ
1. ผีชนิดหนึ่ง เชื่อว่าเข้าสิงอยู่ในตัวผู้หญิง ถอดหัวและไส้ออกหากินของโสโครกในเวลากลางคืน ไส้มีแสงเรือง เรียกผลกล้วยที่ลีบและแกร็น เนื้อแข็ง บ่มไม่สุก ว่า กล้วยกระสือดูด
2. กระสือเป็นคำเรียกเห็ดชนิดหนึ่ง เรืองแสงได้ในเวลากลางคืน
3. เป็นชื่อว่านชนิดหนึ่ง ต้นและหัวคล้ายขมิ้นอ้อย สีขาว ฉุนร้อน ตามตํารากบิลว่านว่า เมื่อหัวแก่มีธาตุปรอทลงกิน มีพรายเป็นแสงเรืองในเวลากลางคืน เชื่อกันว่า ชอบไปเที่ยวหากินของโสโครกเหมือนกระสือ
นอกจากนี้ คำว่า กระสือ ยังเป็นชื่อหนอนซึ่งเป็นตัวอ่อนของแมลงพวกหิ่งห้อย และหิ่งห้อยตัวเมียซึ่งไม่มีปีก สามารถทำแสงกระพริบเห็นเป็นสีเขียวอมเหลืองอ่อน เรียกว่า หนอนกระสือ ไข่ของหนอนกระสือบางชนิดก็เรืองแสงได้
ต้องบอกว่าสำหรับ กระสือ ในแง่มุมของผี ถือเป็นผีเก่าแก่มาแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา ตามที่มีปรากฏหลักฐานในกฎหมายตราสามดวง โดยพระยาอนุมานราชธน หรือ เสฐียรโกเศศ อธิบายไว้ในหนังสือผีสางเทวดา ว่า ชื่อกระสือนี้เป็นชื่อผีที่ชาวภาคกลางรับรู้กัน เป็นผีผู้หญิง โดยมากมักเป็นยายแก่ ชอบกินของสดของคาวและชอบออกหากินในเวลากลางคืน ดึก ๆ เวลาเคลื่อนที่ไปจะมีแต่หัวและตับไตไส้พุงเท่านั้น ส่วนร่างกายไม่ไปด้วยคงทิ้งไว้ที่บ้าน เมื่อไปจะเห็นเป็นดวงไฟเป็นแสงเรืองวาบๆ สีเขียวเป็นดวงโต
ต้องบอกว่าตามเรื่องเล่าก็จะมีการพูดถึงลักษณะ หรือพฤติกรรมของ ผีกระสือ ที่แตกต่างกันกันออกไป บ้างก็ว่าผีชนิดนี้ชอบกินอุจจาระ หากกินแล้วมันเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ ก็เอาผ้านั้นเช็ดปากของมันที่เปื้อนอุจจาระ ตื่นเช้าจะเห็นผ้าที่ตากไว้มีรอยเปื้อนเป็นดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้ม กระสือสาว จะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปาก ทนไม่ไหวต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มผ้านั้นอีก
กระสือถอดหัว เป็นผีชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าสิงสู่อยู่ในตัวของคนเพศหญิง ซึ่งโดยมากมักเป็นหญิงสูงอายุ ชอบรับประทานของสดคาว มักออกหากินเวลากลางคืนและไปแต่หัวกับตับไตไส้พุง ส่วนร่างกายคงทิ้งไว้ที่บ้าน เวลาไปจะเห็นเป็นดวงไฟดวงโตมีแสงสีแดง แต่ส่วนมากจะเป็นแสงสีเขียวเรืองวาม ๆ โดยจะเริ่มออกหากินตั้งแต่เวลาหัวค่ำไปจนถึงทั้งคืน และจะกลับเข้าร่างเวลาใกล้รุ่งสาง กลับไปเข้าร่างที่ถอดทิ้งไว้ตามเดิม
ผู้ที่เป็นผีชนิดนี้ในเวลากลางวันจะมีลักษณะร่างกายเหมือนคนทั่วไป แต่มีพฤติกรรมหรืออาการแบบแปลก ๆ ผิดปกติ เช่น ไม่ชอบสบตาคน เงียบ ๆ ไม่พูดไม่จากับใคร ชอบเก็บตัวอยู่คนเดียว บ้างก็ไม่ชอบแสงสว่างก็มี
โดยเชื่อกันว่าจุดเริ่มต้นของ กระสือร้าย เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยใดก็ยังไม่เป็นที่ทราบ ซึ่งคนในสมัยโบราณมักจะเรียกว่า ผีลากไส้ และในเวลาต่อมาก็จึงเรียกว่า “กระสือ”หรือ “ผีกระสือลากไส้” ในสมัยปัจจุบันนี้
และผู้ที่เป็นกระสือนั้นมักจะเป็นผู้ที่ บูชาเซ้นไหว้ ไสยศาสตร์ หรือ มนต์ดำ (เดรัจฉานวิชา) แต่ทำผิดข้อห้าม จนกลายเป็นกระสือไปในที่สุด
ตามปกติแล้วกระสือจะไม่ทำร้ายผู้คนคน ว่ากันว่าเมื่อกระสือออกหากินเวลากลางคืนแล้วเมื่อพบกับคนก็จะลอยหนีหายไป ถ้าหากคนทำให้กระสือเกิดความไม่พอใจ โกรธ กระสือจะมีความแค้น อาฆาตพยาบาท เมื่อกระสือได้ชำระแค้นกับคน ๆ นั้นแล้ว ก็อยู่ที่ว่าจะแค่บาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตเลย
ใครคลอดลูกใหม่ กลิ่นสดคาวของเลือดจะชักนำให้ ผีกระสือลากไส้ มาและกินตับไตไส้พุงของหญิงที่คลอดลูก หรือของทารกที่คลอดนั้น เหตุนี้ชาวบ้านจึงมักเอาหนามพุทราสะไว้ที่ใต้ถุนเรือนตรงที่มีร่องมีรู เพื่อป้องกันมิให้กระสือเข้ามา เชื่อกันว่ากระสือกลัวหนามเกี่ยวไส้
นอกจากของสดของคาวแล้ว กระสือยังชอบรับประทานของโสโครกเช่นอุจจาระเป็นต้น เมื่อรับประทานแล้วเห็นผ้าของใครตากทิ้งค้างคืนไว้ก็เข้าไปเช็ดปาก ผ้านั้นจะปรากฏเป็นรอยเปื้อนดวง ๆ ถ้าเอาผ้านั้นไปต้มกระสือจะรู้สึกปวดแสบปวดร้อนปากทนไม่ไหวจนต้องมาขอร้องไม่ให้ต้มต่อไป กระสือนั้นเมื่อเจ็บจวนจะตายก็ไม่ตายเด็ดขาด และจะต้องคายน้ำลายของตนถ่ายเข้าปากลูกหลานคนใดคนหนึ่งไว้ให้ สืบทายาท เป็นกระสือต่อก่อน ตนจึงจะตายได้โดยไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป
ซึ่งวิธีการการปราบกระสือนั้น ไม่สามารถไล่ผีที่มาสิงสู่ออกจากร่างเหยื่อได้ ว่ากันว่าวิญญาณนั้นได้หยั่งลึกลงในใจของคน ๆ นั้น ซึ่งสังเกตได้ว่าเป็นการหยั่งลึกในขั้นที่วิญญาณ (กายทิพย์) สามารถบังคับให้ร่างกาย (กายหยาบ) ของผู้ถูกสิงนั้นอยู่ในสภาพที่วิปลาสผิดธรรมชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นการถอดหัวและอวัยวะภายในให้หลุดออกมาจากร่างกาย รวมถึงการลอยตัวอยู่ในอากาศ
เพราะฉะนั้นร่างกายของคน ๆ นั้นเมื่อถูก วิญญาณร้าย บังคับให้ทำในสิ่งที่หากมนุษย์ธรรมดาทำแล้วเสียชีวิต ก็เท่ากับว่ากายนั้นเป็นร่างกายที่ไร้สิ้นซึ่งความเป็นมนุษย์ เป็นร่างกายที่เสียหาย และยังคงมีชีวิตอยู่ได้โดยอำนาจของวิญญาณภูติกระสือที่อยู่ในร่างเท่านั้น ถึงแม้กระสือจะถูกไล่ออกจากร่างไป แต่ร่างการนั้นก็ไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างคนปกติ
ดังนั้นการปราบกระสือก็เท่ากับต้องฆ่าคน ๆ นั้นไปด้วยเลย บางท้องที่เล่าว่ากระสือชราเมื่อมีการถ่ายทอดความเป็นกระสือสู่ลูกหลานรุ่นต่อไปแล้ว ตนเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานก่อนจะเสียชีวิตในสภาพที่หัวกับอวัยวะภายในหลุดออกมาจากตัว ซึ่งเป็นผลพวงจากการถูกวิญญาณร้ายบังคับให้แยกออกไปหากินเมื่อครั้งยังมีกระสืออยู่ในร่าง เมื่อถ่ายทอดกระสือออกจากร่างไปแล้ว หัวกับตัวก็จะไม่สามารถต่อติดเชื่อมกันอีกต่อไป
เชื่อกันว่าเวลาที่ กระสือถอดหัว ออกหากินจะแอบซ่อนร่างของตนเองไว้ไม่ให้ใครเห็น พอถึงเวลานั้นผีตนนี้จะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ส่วนใหญ่อาหารที่พวกมันออกหาจะเป็นพวกสัตว์ ของสด ของสกปรก แต่ถ้าในบ้านไหนมีคนกำลังคลอดลูกผีตนนี้จะไปรอเพื่อหวังจะกินรกของเด็ก
บ้างก็ว่า กระสือเฒ่า มักจะไปวนเวียนที่บ้านที่มีคนตั้งท้องในช่วงท้องแก่ ในมัยก่อนหากบ้านทีมีหญิงท้องจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ตามความเชื่อแล้วผีประเภทนี้จะไม่ค่อย กินคน หรือทำร้ายมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างจะกลัวคนด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการให้ใครเห็นหน้าของมันนั่นเอง
ตอนถอดหัวออกหากิน ร่างกายของมันจะไม่ขยับ เหมือนร่างที่นอนหลับ หรือร่างที่ไร้วิญญาณ ส่วนตัวหัวและไส้ก็จะติดกันลอยออกไปพร้อมมีแสงไฟวูบวาบไปด้วย ฟันจะแปลเปลี่ยนเป็นเคี้ยวที่แหลมคม ผมรุงรัง พอกินอิ่มก็จะกลับเข้าร่างตนเอง และจะเป็นแบบนี้ไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัยและตายไปเหมือนคนปกติทั่วไป
ว่ากันว่าในอดีตในบริเวณวัดหรือหมู่บ้านจะมักปลูก ไผ่หนาม ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ กระสือถอดหัว ผ่านไปบริเวณนั้น เพราะไผ่หนามจะเกี่ยวบริเวณลำไส้ของมัน บ้างก็ว่าหากในยามที่ชาวบ้านไล่ต้อนมัน ก็จะมักไล่ต้อนให้ไปทาง ดงไผ่หนาม ซึ่งมันจะไม่สามารถหนีไปได้ ถึงแม้จะบอกว่า ผีกระสือถอดหัว จะลอยไปไหนมาไหนได้ก็ตาม แต่มันก็ลอยไม่ได้สูงมากนัก ถ้าตามการบอกเล่าอยากมากก็แค่สูงเท่าบ้านยกสูง 2 ชั้นเท่านั้น
นอกจากจะใช้วิถีการต้อน กระสือลากไส้ ไปในดงไผ่หนามไม่ให้กลับเข้าร่างได้ อีกวิธีที่สามารถจัดการ กะสือ ได้นั่นก็คือ ทำลายร่างของตัวมันด้วยการเผา หรืออาจจะเอาไปซ่อนไม่ให้มันหาร่างตนเองเจอ พอรุ่งเช้ามันกลับเข้าร่างไม่ทันก็จะตายไปในที่สุด
และอีกหนึ่ง ความเชื่อ ที่เล่าต่อๆกันมานั่นคือหากผู้ใดกิน น้ำลายกระสือ ก็จะต้องเป็นกระสือ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีการยืนยันในเรื่องนี้ ถ้าคิดในมุมความจริงทั่วไปหากแค่กิน น้ำลายกระสือ แล้วจะกลายเป็นกระสือทันทีมันออกจะฟังดูเป็นเรื่องง่ายเกินไป คนสมัยก่อนเลยไม่ค่อยกินของจากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม กระสือลากไส้ ก็ยังเป็นผีที่เล่าขานต่อๆกันมา แต่หากในยุคปัจจุบันจะมีน้อยคนที่พูดถึงผีชนิดนี้ อาจจะด้วยความเจริญของยุคสมัย ความสว่างไสวของแสงไฟ ที่ไม่อาจทำให้สามารถหลบซ่อนสายตาของผู้คนได้ ก็เป็นได้…