สัมผัสพิเศษ เมื่อทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ สถานการณ์ชวนขนลุกที่เกิดบ่อยขึ้น นำมาซึ่งการสับสนและยากที่จะยอมรับ
“ปอบเลีย” หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำนี้ก็ต่างได้แต่ทำหน้างุนงงว่ามันคืออะไร แล้วมันต่างอะไรกับปอบทั่วไป น้องสางของยายเลยได้อธิบายให้เหล่าบรรดาญาติๆฟังตามคำบอกเล่าที่ได้ฟังจากท่านพระครู ซึ่งท่านได้บอกว่า ผีปอบ ตนนี้ยังไม่ได้เข้าสิงสู่หรือยึร่างยายแต่อย่างใด แต่แค่ตามติดเป็นเงาควบคุมความคิดหรือการกระทำของคนๆนั้นได้บางเวลา แต่ไม่สามารถทำอะไรไปไดมากกว่านั้น
เหตุผลก็มาจากหลายๆปัจจัยด้วยไม่ว่าจะเป็น ยังไม่ถึงคราวเคราะห์ จิตแข็ง มีของดีหรือผู้ปกป้องคุ้มครอง และอีกประการคือเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม หรืออาจจะเป็นผลบุญที่ได้สร้างไว้ทั้งในชาตินี้และชาติปางก่อน ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้ปอบตนนั้นไม่สามารถ เข้าสิงร่าง ของยายได้
แต่ถ้าหากในเวลานั้นเป็นช่วงดาวตก จิตตก หรือถึงคราวเคราะห์ ประจวบเหมาะกับ ผีปอบ ตนนั้นมีกำลังแกร่งพอดี ต่อให้มีสิ่งเหล่านั้นที่กล่าวมาในข้างต้นก็ไม่สามารถจะต้านทานพลังของวิญญาณร้ายนี้ได้
คำถามคาใจของทุกคนอีกข้อคือปอบตนนั้นเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้มาเกาะติดตามยาย และพยายามมาปรากฎตัวให้น้ำตาลเห็น ได้คำตอบมาว่าก่อนหน้านี้เขาหลบซ่อนอยู่ในต้นข่อยต้นนั้นที่เคยเห็นดวงไฟดวงใหญ่หายเข้าไปนั่นเอง แต่นั้นไม่ใช้ผีตนเดียวกัน ดวงไฟที่เห็นคือ ผีโป่งผีเป้า แต่ปอบตนนี้เจ้าของก็ได้ฝั่งของซ่อนไว้ในบริเวณนั้นเช่นกัน
เมื่อพ่อใหญ่กาญได้มาทำพิธี ไล่วิญญาณ มันจึงกลับมาเล่นงาน ผีโป่งผีเป้า ตนนั้นนั้นได้ย้ายไปสิงอยู่ที่อื่นแล้ว เพราะปกติแล้วผีชนิดนี้จะค่อนข้างกลัวคนจะหากินพวกปลาหรือสัตว์เล็กเท่านั้น แต่สำหรับผีปอบนั้นไม่ใช่ มันอาฆาตจะด้วยเหตุผลของตัวมันเองที่แค้นหรือเจ้าของเป็นผู้สั่งท่านพระครูไม่ได้บอก และแน่นอนว่าท่าเองก็ไม่ยอมบอกชื่อของปอบต้นนั้นด้วย
ต่างก็รู้กันดีว่าเป็นคำต้องห้าม ผู้ที่อยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ไม่ควรมักจะเจอจุดจบที่ไม่ค่อยจะดีนัก หลังจากเหตุการครั้งนี้เกิดขึ้นตัวยายกับน้ำตาลจะต้องสวมใส่ด้ายสายสิณจน์ไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน และสิ่งที่ต้องทำคือในตอนเย็นจะต้องต้มน้ำใบหนาดอาบจนครบ 7-9 วัน สวดมนตร์ทำบุตรใส่บาตรกวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร และพระแม่ธรณีสิ่งศักสิทธิ์ช่วยคุ้มครอง
นอกจากนี้ผู้เฒ่าผู้แก่ยังได้อธิบายเพิ่มเติมอีกว่า ปอบ มีหลายประเภทแล้วแต่ว่าจะเป็น ปอบเชื้อ ที่สืบทอดของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่นเมื่อผู้ที่เป็นหมดอายุขัยลูกหลานก็จะต้องสืบทอดการเป็นปอดต่อ ปอบธรรมดา ส่วนใหญ่จะเกิดจากคนที่มี คาถาอาคม หรือเล่น คุณไสย แล้วทำผิดกฏ ผิดครู รักษาของไม่ได้จึงทำให้ของเข้าตัว เมื่อวิญญาณของปอบเข้าสิงร่างเจ้าของแล้วร่างตายวิญญาณปอบตนนั้นก็จะตายไปด้วย ปอบแลกหน้า ปอบประเภทนี้จะเป็นวิญญาณเจ้าเล่ห์ มักจะเข้าสิงสู่คนไปทั่วเมื่อถูกจับได้จะไม่ยอมพูดความจริง จะไม่ยอมบอกว่าตนมาจากไหนชื่ออะไร และมักจะโยนความผิดไปให้ผู้อื่นให้เกิดความสับสน
ยังมีอีกประเภทแต่ชื่อเรียกก็จะแตกต่างกันไปแต่ละท้องถิ่น ในหมู่บ้านของน้ำตาลจะเรียกปอดประเภทนี้ว่า ปอบหมาดำ จะมีลักษณะเป็นหมาตัวสีดำตัวใหญ่มีตาสีแดง จะออกหาอาหารในเวลากลางคืน หรือหากใครที่ฝันถึงหมาดำตัวใหญ่ไหล่กัด ผู้เฒ่าผู้แก่จะบอกเสมอว่านั่นคือ ปอป หากฝันถึง 3 ครั้งติดต่อกันนั้นหมายความว่า ปอบหมาดำ ได้เข้าสิ่งสู่ผู้นั้นแล้ว
อันที่จริงแล้วปอดยังสามารถเป็นสัตว์อื่นๆได้อีก อาจจะด้วยการแปลงกาย หรือเป็นสัตว์เลี้ยงของปอบตนนั้น ไม่ว่าจะเป็น หมา ม้า แมว เป็นต้น ว่ากันว่าหากเป็นสัตว์เลี้ยงของปอดตนใดก็ตามหากพวกมันอิ่มเจ้าของมันก็จะอิ่ม หากพวกมันเจ็บเจ้าของก็จะเจ็บด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ตึงเครียดมากในช่วงนั้น ลุงเขยและบรรดาญาติๆจึงอยากพาเด็กๆไปเที่ยวเล่นให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ในชนบทการได้ไปหาของป่าได้ไปเล่นน้ำจำปลานั่นคือกิจกรรมที่เรียกว่าสนุก และเป็นอะไรที่ดีที่สุดแล้ว ทุกคนเลือกที่จะไปเล่่นน้ำจับปลางมหอยกันที่แม่น้ำแห่งหนึ่ง (เป็นแม่น้ำที่หากเอ่ยชื่อทุกคนจะต้องรู้จักแน่นอน)
พอเริ่มเดินทางทุกคนก็เตรียมอุปกรณ์ในการหาปลา และข้าวของอุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ประกอบอาหารกันในตอนเที่ยงด้วย ทุกคนต่างตื่นเต้นโดยเฉพาะเด็กๆ ที่จะได้เล่นน้ำกัน พอทุกคนไปถึงยังจุดหมายก็พบว่ามีผู้คนมาที่นี่กันเยอะพอควร แต่ทุกคนที่มาก็จะเน้นการเล่นน้ำ หาหอยหาปูเพียงแค่ใช้ทำกินกันที่นั่น เหมือนเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของหมู่บ้านในระแวงนั้น
ไปถึงก่อนจะพากันลงไปเล่นน้ำผู้ใหญ่ก็ได้มีการบอกกล่าว เจ้าที่เจ้าทาง รินเหล้าขาวและข้าวเหนียวกับข้าวไหว้พอเป็นพิธีหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันทั้งเล่นน้ำและหาปลา ซึ่งผู้ใหญ่จะเลือกจุดให้เด็กๆเล่นในบริเวณที่ไม่ลึก
เวลาผ่านไปได้จนเวลาที่พระอาทิตเริ่มจะตกดิน อยู่ๆก็มีอีกาและ นกแสก ร้องประสานเสียงกันเสียงดังจนน่าขนลุก ทุกอย่างทำให้ทุกคนที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆอยู่จะต้องหยุดชะงักลง แต่น้ำตาลกลับรู้สึกตกใจกลับสิ่งที่เธอกำลังจ้องมองอยู่ในตอนนี้ เธอเห็นผู้หญิงคนนึงอยู่อีกฝั่งกับที่เธอยืนอยู่ ผมยาวทั้งตัวของเธอเปียกชุ่มจ้องมาที่เธอ พร้อมกับรอยยิ้มน่าขนลุก เธอรู้สึกกลัวจึงรีบหันไปทางอื่น แต่พอหันไปมองอีกทีเธอคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว!!!
ทุกคนต่างมองบนต้นไม้ตามเสียงอีกาและ นกแสก อยู่เพื่อที่จะไล่พวกมัน แต่ทันใดนั้นน้ำตาลก็ได้ยินเสียงคนกระซิบที่ข้างหูว่า “หนึ่งชีวิตหรือสองชีวิตดี” เมื่อได้ยินดังนั้น้ำตาลก็สะดุ้นหันไปมองว่าเป็นเสียงใครกัน แต่กลับไม่มีใครอยู่ข้างหลังเธอเลย….
เมื่อทุกคนเห็นว่าเย็นมากแล้วบวกกับนกพวกนั้นมันไม่ยอมหยุดร้อง ต่างก็รีบพากันขึ้นจากน้ำเพื่อที่จะกลับบ้าน น้ำตาลก็เช่นกันตอนนี้เธอยืนอยู่บนฝั่งแล้ว หันหลังให้กับแม่น้ำ ก็มีเสียงใครสักคนตะโกนว่ามีคนจมน้ำให้ช่วยกันหน่อย ในตอนนั้นทั้งเสียงคนโวยวายตะโกนกันไปมา ทั้งเสียงฝูกอีกา กับนกแสก ท้องฟ้าในตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีส้มแดง ทุกอย่างมันต้องเกิดขึ้นมันมีภาพขึ้นมาในหัวของน้ำตาล
ก่อนที่เธอจะได้สติเพราะเสียงของใครอีกคนดังขึ้นในหัวของเธอว่า “ฮ้องร้ายไห่หนี ฮ้องดีไห่ยู่” “พูดสิตาลพูดสิเร็ว” พอน้ำตาลได้สติก็ตะโกนออกไปแบบนั้นอยู่สักพัก ในตอนนั้นมีอีกาบินหนีไปเกินกว่าครึ่งเหลือเพียงไม่กี่ตัว แต่นกแสกยังอยู่ !!!
ทันใดนั้นก็มีเสียงลุงผู้ชายคนนึงตะโกนขึ้นมาได้ว่าเจอแล้วๆ ก่อนจะเห็นล่างเด็กชายวัยน่าจะไม่เกิน 6 ขวบ ที่ถูกอุ้มมายังฝั่ง ในตอนนั้นน้ำตาลรู้สึกดีใจสับสนในเวลเดียวกัน แต่ไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ก็มีเสียงผู้หญิงดูแล้วน่าจะอายุไม่เกิน 30 ปี บอกว่า “แล้วอีกคนหละ” ทำให้ทุกคนต่างรีบช่วยกันดำผุดดำว่ายกันให้วุ่น ในตอนนี้น้ำตาลเธอเริ่มสติแตกเธอเอาแต่มองผู้คนที่ช่วยกันงบหาเด็กที่หาย สลับกับมองดูนกพวกนั้น
“ไม่ทันแล้ว” นี่คือเสียงกระซิบสุดท้ายก่อนที่น้ำตาลได้ยิน หลังจากนั้นไม่ถึง 10 นาทีก็เจอร่างเด็กชายวัย 5 ขวบที่เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ…
พอพาร่างเด็กชายที่ไร้วิญญาญขึ้นถึงฝั่ง น้ำตาลก็เจอร่างผู้หญิงคนเดิมยืนอยู่ที่เดิมก่อนที่เธอจะหายไปกับความมืด และฝูงนกก็เงียบสงบไม่มีเสียงร้องเฉกเช่นครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นแบบนั้นลุงเคยและญาติๆต่างพากันเก็บข้าวของขึ้นรถอย่างเร่งรีบ หรือจะบอกว่าอะไรไม่สำคัญไม่เอากลับมาด้วยซ้ำ ครอบครัวของน้ำตาลไม่มีใครได้รับอัตราย ส่วนเด็กที่จมน้ำทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ซึ่งอยู่หมู่บ้านไม่ไกลจากจุดนั้นเลย ที่สำคัญทั้งสองคนว่ายน้ำเก่ง มาเล่นที่นี้แทบจะทุกเสาร์อาทิตย์
แต่ถ้ามองว่าเรื่องแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้เสมอจริงๆมันก็ใช่ แต่ผู้หญิงคนนั้นที่น้ำตาลเห็นละ เธอมาพร้อมกับฝูกอีกาดำและนกแสก ซึ่งปกติแล้วหากเราตะโกนไล่ เคาะหม้อ ปาสิ่งของไล่มันก็จะบินหนีกันไปแล้ว แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่เลย พวกมันเริ่มบินกลับก็ตอนที่น้ำตาลพูดว่า “ฮ้องร้ายไห่หนี ฮ้องดีไห่ยู่” มันอยู่ครึ่งและบินจากไปครึ่ง แถมยังในสุดท้ายมีคนตาย 1 คน รอดชีวิต 1 คน นกที่เหลืออยู่ก็บินหายไปพร้อมๆกับรอยยิ้มอันน่ากลัวของเธอคนนั้น…
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้านในหัวของน้ำตาลมันทั้งกลัวและสับสน เสียงกระซิบนั้นที่บอกให้เธอไล่นกนั่นคือใคร แล้วผู้หญิงน่ากลัวเธอเป็นใคร จนเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอต้องลงรถตรงบ้านปู่ย่าของเธอเพราะเป็นทางผ่านก่อนจะถึงบ้านของเธอ
เพราะพ่อแม่และน้องของน้ำตาลมากินข้าวกันที่บ้านปู่ย่าในวันนี้ เธอยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใครฟัง เล่าเพียงเรื่องคนที่จมน้ำเท่านั้น ก่อนที่พ่อของเธอจะบอกว่าต่อไปห้ามไปเล่นน้ำอีกเป็นอันขาด เธอก็รับคำมาแต่โดยดี
ทานข้าวเย็นกันเสร็จน้ำตาลจะเป็นคนรับหน้าที่ล้างจาน ซึ่งต้องไปล้างหลังบ้านแต่ก็เป็นครัวแบบบ้านนอกง่ายๆ ไม่ใช้ที่ล้างจานแบบในปัจจุบันที่ยืนล้าง แต่มีแค่โอ่งน้ำใบขนาดกลาง กะละมั้งและเก้าอี้ตัวเตี้ยสำหลับนั่ง โดยพื้นตรงที่ล้างจานจะเทราดให้ไม่เท่ากันพื้นฝั่งติดผนังบ้านจะต่ำเพื่อให้น้ำไหลไปทางนั้น และเจาะรูตรงผนังกั้นให้น้ำไหลออกไปข้างนอกตัวบ้าน
โดยผนังในจุดครัวที่ล้างจานของบ้านปู่ย่าไม่ได้ก่อไปให้สูงชิดหลังคา แต่จะสูงเพียงอิฐ 5 ก้อนเท่านั้น สามารถมองเห็นด้านนอกได้ และด้านนอกตัวบ้านจะเป็นป่ากล้วย ในวันนั้นระหว่างที่น้ำตาลนั่งล้างจานอยู่คนเดียวเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่ง กรับๆ กรับๆ วนอยู่ข้างนอกบ้าน เธอนิ่งฟังอยู่พักนึงก่อนจะลุงคนยืนบนเก้าอี้นั่งเพื่อมองดูว่าเสียงมาจากไหน
แต่พอเธอมองออกไปกลับไม่เจออะไร และเสียงม้านั่นก็หยุดไป เธอเลยนั่งล้างจานต่อไปไม่ทันไรเสียงนั้นก็มาอีกแล้ว ครั้งนี้เธอไม่คิดแม้แต่จะหันไปมองหรือเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ ก้มหน้าก้มตาล้างจานด้วยความกลัวจนมือสั่นทำอะไรไม่ถูก
ล้างจานเสร็จน้ำตาลรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน และถามกับผู้เป็นย่าฟังว่าเธอได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่งอยู่หลังบ้าน ย่าถามย้ำว่าได้ยินจริงๆใช่ไหม น้ำตาลก็ย้ำว่าจริง ปู่เลยพูดขึ้นมาว่า “ปอปนะสิจะอะไร” หลังจากนั้น้ำตาลเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ไปเล่นน้ำให้ทุกคนฟัง ย่าเลยบอกว่าน้ำตาลน่าจะมี สัมผัสพิเศษ
ปู่ฟังจบก็เดินเขาไปในห้องนอนของท่านในทันที น้ำตาลมองตามด้วยความแปลกใจแต่ยังไม่ได้เอ่ยถามอะไร ผู้เป็นย่าก็ตอบคำถามจากสีหน้าของน้ำตาลว่า “ปู่ไปเข้าฌาน”