สัมผัสที่6 เด็กธรรมดาที่ต้องรับมือกับเรื่องเหนือธรรมชาติ โลกของคนเป็นแต่ยังมีความลับพิศวงซ้อนอยู่ในทุกแห่งหน
ว่ากันด้วยเรื่องความเชื่อ ตำนาน เรื่องผีหรือวิญญาณที่เล่าขานกันมาช้านาน ต่างก็มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่ง บางเรื่องอาจจะกำลังรอการพิสูจพ์ แต่เหนื่อสิ่งอื่นใดคือทุกคนต่างก็ไม่กล้าที่จะลบหลู่ แม้แต่การท้าทายก็ถือเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเรื่องลี้ลับเหล่านี้
หลายคนคงจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า สัมผัสที่6 หรือการมีสัมผัสพิเศษ ที่ทำให้คนเหล่านั้นสามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้ บางก็เชื่อกันว่าโลกมนุษย์เราเป็นเพียงอีกมิติหนึ่ง แต่นอกจากนี้ยังมีโลกอื่นที่กำลังดำเนินไปอย่างปกติเฉกเช่นเดียวกัน
แต่นั้นก็เป็นเพียงสมมติฐานเท่านั้น ยังไม่ผู้ใดชี้ชัดถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ได้อย่างชัดเจน จึงเกิดเป็น ความเชื่อ ความศรัทธา ความกลัว ซึ่งจะนำไปสู่การค้นหาคำตอบกันต่อไป
จุดเริ่มต้น…
สำหรับเรื่องราวที่เราจะมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นเด็กธรรมดาปกติทั่วๆไป เธอเกิดช่วงปี 2536 หรือราวๆ 30ปี ที่แล้ว และเติบโตมาในครอบครัวในชนบท โดยในช่วงที่อายุได้ 5 เดือนเธอถูกเลี้ยงดูจากผู้เป็นตาและยาย ส่วนพ่อแม่ของเธอต้องเข้ากรุงเทพฯ เพื่อทำงานหาเงินเพื่อส่งมาให้ทางบ้าน
ด้วยการเติบโตมากับตายายที่ค่อนข้างมีอายุ และในสมัยนั้นก็ค่อนข้างจะยังไม่เจริญอะไรมากนัก บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นบ้านไม้แบบยกสูง ใต้ถุนบ้านจะปล่อยโล่งเพื่อนำแปลหรือแคร่มานั่ง ทำกิจกรรมต่างๆในตอนกลางวัน รั่วบ้านแทบจะทุกบ้านจะมีเพียงการปลูกพืชพักสวนครัว หรือต้นมะพร้าว มะระกอ เป็นจุดเพื่อแสดงเขตแดดพื้นที่บ้านเท่านั้น
เด็กน้อยได้เติบโตตามสภาพแวดล้อมที่ดีในแบบสังคมชนบท การละเล่นในสมัยก่อนก็แสนจะเรียบง่าย การเก็บหินมาเล่นหมากเก็บ เล่นกระโดยาง เล่นซ่อนแอบ หรือการปีนป่ายต้นไม้ถือว่านี้เป็นกิจกรรมที่สนุกเป็นที่สุดแล้ว
พอเวลาผ่านไปมาถึงจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต ในวันนั้นเด็กน้อยได้ไปเรียนปกติที่โรงเรียนใกล้บ้านที่เดินไม่ถึง 3 นาทีก็ถึง ช่วงหลังจากพักกลางวันซึ่งนี้จะเป็นเวลานออนกลางวันของเด็กชั้นอนุบาล แต่เด็กน้อยอยู่ๆก็อาละวาดไม่ยอมนอนร้องบอกแต่จะกลับบ้าน “กูจะกลับบ้าน” พูดจาด้วยคำไม่สุภาพราวกับว่านั่นไม่ใช้ตัวของเธอเอง ทำให้ทั้งคุณครูและเพื่อนๆต่างก็หวาดผวาไปตามๆกัน
ไม่นานนักก็มีญาติของเด็กหญิงเข้ามาที่โรงเรียนเพื่อมาติดต่อขอรับตัวเด็กหญิง และลูกพี่ลูกน้องของเธออีก 2 คนกลับบ้านในเวลานี้พร้อมกันด้วย เนื่องจากทางบ้านมีข่าวเรื่องอาการทรุดหนักของคุณตาผู้เลี้ยงดูเด็กหญิงตั้งแต่เกิด
ตัวของเด็กหญิงไม่ใช้เพียงถูกเลี้ยงดูจากผู้เป็นตายาย แต่ทุกคนทราบดีว่าผู้เป็นตารักหลานสาวคนนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด เธอเป็นเหมือนแก้ตาดวงใจของผู้เป็นตา ไม่ว่าเธอจะอยากได้อะไรตาก็จะไม่เคยขัดใจ บางคืนที่เด็กสาวนอนไม่หลับอยากให้ตาพาไปปั่นจักรยายในเวลาตี 1 ผู้เป็นตาก็ไม่เคยขัด เรียกได้ว่าเธอคนนี้เป็นหลานตาที่ความรักยิ่งกว่าลูกก็ว่าได้
หลังจากที่ทุกคนกลับมาถึงบ้านภาพที่เด็กสาวเห็นคือ ญาติๆทุกคนนั่งล้อมผู้เป็นตาที่ตอนนี้หายใจโรยริน ในตอนนั้นทุกคนเข้าไปหาตาเพื่อดูใจและขอขมา แต่กลับเด็กสาวกลับเลือกที่จะยืนมองอยู่ตรงหน้าประตู ถึงแม้ผู้เป็นตาจะพยายามที่จะเรียกให้หลานรักเข้าไป แต่เธอกลับนิ่งเฉย จนสุดท้ายลมหายใจเหื่อกสุดท้ายของตาก็ได้หมดลง…
ในตอนนั้นเชื่อหรือไม่ว่าเด็กน้อยไม่แม้แต่ร้องไห้ออกมาแม้แต่น้อย ทำเอาทุกคนไม่เข้าใจและงุนงงไปตามๆกัน เธอทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่ทุกคนต่างก็วุ่นวายในการเตรียมงานศพ เธอกลับนั่งเล่นตุ๊กตากระดาษที่ตาของเธอซื้อให้อยู่ข้างๆศพของตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
พิธีงานศพที่จัดขึ้นมีทั้งวงดนตรีปี่พาทย์ การเทศนาธรรมของพระชื่อดัง จัดขึ้นแบบนั้นอยู่นาน 7 วัน ในส่วนโรงเย็นที่ใช้เก็บร่างของตาถูกจัดไว้อย่างถูกต้องตามประเพณีที่สืบทอดกันมา จะมีสิ่งนึงที่คนในสมัยนี้อาจจะไม่เคยเห็น นั้นคือการเอาแห่มาผูกตรงขื่อคานบ้านเพื่อให้ตัวแห่ปกลุมโลงที่เก็บร่างของผู้ตายไว้ เพื่ป้องกันให้มีแมวดำหรือสิ่งอื่นๆมากระโดดข้ามศพ เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณเฮี้ยนหรือไม่ได้ไปผุดไปเกิดนั่นเอง
เมื่อมาถึงวันที่เป็นกำหนดเผาศพ เมื่อเด็กสาวเห็นว่าจะมีคนเคลื่อนย้ายร่างของตาผู้เป็นที่รักไปเธอก็เริ่มโวยวาย ไม่ยอมให้คนมายุ่งกับร่างไร้วิญญาณ จนใช้เวลาอยู่นานกว่าจะทำการย้ายศพไปยังวัดที่จะทำการเผาร่างคุณตา ในสมัยนั้นเรายังไม่มีเมรุเราใช้การเรียงท่อนฟืนให้มากพอสำหรับการจะเผา โดยมีสัปเหรอคอยช่วยจัดแจงในเรื่องนี้ และนาทีที่จุดไฟเด็กหญิงก็กรี๊ดร้องเหมือนคนจะขาดใจ พยายามจะวิ่งเข้ากองไฟเพื่อไปหาร่างของผู้เป็นตา
ทำเอาทุกคนมี่มาร่วมพิธีต่างก็เวทนาและโศกเศร้าไปตามๆกัน
หลังจากพิธีกรรมต่างๆเสร็จสิ้นลงทุกคนต่างก็ไปทำหน้าที่ของตนเองตามปกติ แต่ที่แปลกไปคือเด็กน้อยยังคงเอาแต่หวงแหนของทุกอย่างที่เป็นของตาเธอไม่ยอมให้ใครมาใกล้ เธอมักจะบอกว่าตามาหาเธอทุกวัน ตอนที่เธอเล่นตุ๊กตากระดาษเธอตายังเล่นเป็นเพื่อนเธออยูเลย และคืนนี้เธอก็จะรอตาเหมือนทุกวัน
ตอนแรกผู้เป็นยายก็ไม่ได้คิดอะไร เข้าใจว่าเด็กหญิงก็คงจะเสียใจและทำใจไม่ได้ที่ต้องสูญเสียตาไป แต่มีอยู่คืนหนึ่งยายที่นอนอยู่ข้างๆเด็กหญิงก็ฝันแปลกๆ และได้เอามาเล่าให้กับญาติๆฟัง ยายฝันถึงตาแทบทุกวันในความฝันตามาถามยายว่า “เหงาไหม?” ยายตอบตาไปว่า “เหงามาก” ตาเลยถามต่อว่า “ถ้างั้นเราไปอยู่ด้วยกันไหมจะได้ไม่เหงา” แต่ในความฝันยายไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธตา แล้วก็สะดุ้งตื่น
อีกด้านเด็กหญิงที่ตอนนี้ชอบเวลากลางคืนเป็นพิเศษที่จะได้เจอกับตาผู้เป็นที่รัก ตาจะพาเธอไปที่นู้นที่นี่ตลอดเลย ตาเป็นคนเดียวที่รู้ใจว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร เธอมีความสุขที่ได้เจอตา แต่เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตาไม่ชวนเธอไปอยู่ด้วยเหมือนกับยาย
มีอยู่วันหนึ่งเธอรีบเข้านอนแต่เธอกลับไม่ได้เจอตาของเธอแล้ว พอเธอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงคนเดินรอบตัวบ้าน เธอรู้ได้ทันทีว่านั้นคือคุณตาของเธอ เธอจึงตะโกนถามไปในความมือว่าทำไมตาเอาแต่เดินรอบบ้าน ทำไม่ตาไม่เข้ามา แต่ตาตอบกลับมาว่า “ตาเข้าไปไม่ได้ยายให้คนเอาดายสีข้าวมาพันไว้รอบบ้าน”
ได้ยินแบบนั้นเด็กหญิงก็ไม่รอช้า เอาไม้มาดึงสายสิญจน์ที่พันไวรอบตัวบ้านออกจนหมด ทันทีที่สายสิญจน์ขาดเด็กหญิงก็ได้ยินเสียงยายร้องโวยวายขึ้นมา เธอจึงรีบวิ่งไปดู ภาพที่เด็กหญิงเห็นคือผู้เป็นยายนอนหลับตาแต่เอามือบีบขอตัวเองดิ้นไปมาเหมือนคนหายใจไม่ออก
ญาติๆที่ได้ยินต่างก็ช่วยกันปลุกยายให้ตื่น พยายามเเกะมือยายออกจากคอ แต่ไม่เป็นผล ไม่นานนักลุงเขยก็ได้รับสายจากปลายสายที่โทรเข้ามาและทำตามขั้นตอนที่ปลายสายบอกจนสุดท้านก็สามารถช่วยเหลือยายได้ และคนที่โทรเข้ามาในตอนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น ท่านเป็นน้องเขยของคุณตาผู้ล่วงลับนั่นเอง
ความสับสนต่างๆเกิดขึ้นในหัวของเด็กน้อยจนวันรุ่งขึ้นช่วงสายๆ ตากาญ(น้องเขยตาที่ช่วยชีวิตยายเมื่อคืน) คนอีสานจะเรียกผู้ชายที่มีอายุมากว่า “พ่อใหญ” และนั่นจึงทำให้ทุกคนเรียกน้องเขยของตาคนนี้ว่า “พ่อใหญ่กาญ” ท่านเป็นคนที่ศึกษาเรื่องวิชาอาคมต่างๆ ไม่รับทำของดำของชั่ว เป็นสายขาว และท่านมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรรากไม้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่ท่านจะใช้เวลาอยู่ในป่ามากกว่าอยู่ที่บ้าน
ถึงจุดนี้ทุกอย่างจึงเฉลยว่าเรื่องทุกอย่างเกิดอะไรขึ้น พ่อใหญ่กาญเริ่มเล่าว่าในตอนแรกที่เด็กหญิงแลยคุณยายฝันถึงนั่นคือผู้เป็นตาจริง แต่หลังจากนั้นที่ยายเริ่มฝันว่าตาทำร้ายจะเอาชีวิตยาย จะเอายายไปอยู่ด้วย พ่อใหญ่กาญ ก็รู้ได้ทันทีว่านั้นไม่ใช้พี่ชายของเขาแล้ว แต่เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ฉันเรียกมาและอนุญษ๖ฺให้เข้ามาในบ้านได้โดยที่ไม่รู็
พ่อใหญ่กาญจึงได้เริ่มทำพิธีเพื่อบอกกล่าวดวงวิญญาณของตา และเริ่มบริกรรมคาถาตามที่ท่านได้เรียนมาป้องกันไม่ให้วิญญาณใดเข้ามาในบริเวณบ้านได้ แต่เด็กหญิงที่ไม่ได้รู้อะไรได้ไปดึงสายสิญจน์ขาด จึงเป็นเหตุให้พิธีกรรมที่ทำไว้ได้เสื่อมไป เด็จน้อยรู้สึกผิดแต่ก็ยอมรับว่าอยากเจอคุณตาของเธอเช่นเดิม เธอจะต้องทำอย่างไร ในตอนนั้นไม่มีใครตอบคำถามของเธอ…
ตกเย็นของวันนั้นพ่อใหญ่กาญได้บอกให้เด็กหญิงมาช่วยฝนรากไม้สมุนไพร และอธิบายส่วนต่างๆทั้งสรรพคุณและชื่อของสมุนไพรนั้นๆ แต่เด็กหญิงกลับไม่ได้ต้องใจฟังแต่อย่างใด กลับถามคำถามกลับไปว่า “ทำอย่างไรถึงจะได้เจอกับคุณตาของเธอ”
ตากาญจึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง และพูดขึ้นว่า “น้ำตาลเอ๊ยเอ็งหนะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็นกันอยู่แล้ว ทั้งสิ่งดีและไม่ดี แต่อย่ารับเอามันมามาก ไม่ต้องไปสนใจปล่อยผ่านมันไปได้ยิ่งดีกับตัวเอง” แต่คำตอบนี้กลับยิ่งทำให้เด็กหญิงไม่เข้าใจ ในเมื่อเธอสามารถมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เรียกง่ายๆก็คือเห็นวิญญาณได้ แต่ทำไม่เธอถึงไม่เห็นคุณตาของเธออีกเลยหละ
แต่ในทั้นที่เด็กหญิงจะได้ถามออกไป พ่อใหญ่กาญก็ตอบออกมาเหมือนกับว่ารู้ว่าเด็กหญิงต้องการจะถามอะไร “ที่เอ็งอยากเห็นแต่ไม่เห็นเพราะตาเอ็งไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาไปในที่ๆเขาต้องไปแล้ว ไม่ต้องวิ่งตามหรือเสาะหาวิธีอะไรหรอก แต่ให้จำไว้ว่าตาเอ็งจะคอยมองดูเอ็งเสมอ”
คำตอบที่ได้จากพ่อใหญ่กาญอาจจะทำให้เด็กหญิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะเธอยังรอคอยที่จะได้พบตาของเธออีกครั้ง ตาที่รักเธอยิ่งกว่าใครๆ รอยยิ้มที่ได้จากตานั่นคือความสุขที่เธอหาจากที่ไหนไม่ได้…
วันเวลาผ่านไปเด็กหญิงก็ยังได้เจอกับเรื่องราวแปลกๆเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยเห็นบ้าง ก็มีได้ยินเสียง ได้กลิ่น หรือแม้แต่ความรู้สึกที่เธอสัมผัสได้เมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้น…
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเด็กหญิงวัยเพียง 5-6 ขวบ หลังจากนี้เธอจะได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับ เรื่องเหนือธรรมชาติ อะไรอีกบ้าง ต้องรอติดตามกันต่อ รับรองว่าความผวากำลังจะเริ่มขึ้นแล้วกับ สัมผัสที่6