the6sense สัมผัสพิเศษที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ตอน2

the6sense

the6sense สัมผัสพิเศษที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ต่อให้อยากจะปฏิเสธก็ไม่สามารถทำได้ ผู้ที่มีสัมผัสพิเศษจะต้องพบเจอกับสิ่งที่คนปกติไม่มีทางได้สัมผัส

the6sense

หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างกลับสู่ปกติ…
เด็กน้อยได้เติบโตมาตามวัยในหมู่บ้านเล็กๆในจังหวัดทางตอนใต้ของภาคอีสาน ทุกวันเด็กน้อยจะอาศัยอยู่กับยาย เด็กน้อยมักจะเป็นคนที่ค่อนข้างนอนหลับยาก ยายจึงมักจะเล่นเรื่องราวต่างๆของครอบครัวให้กับเด็กน้อยฟัง นอกเหนือจากการเล่าเรื่องต่างๆก็จะสอนให้ผู้เป็นหลานท่องบทสวดมนต์
ทุกๆวันพระผู้เป็นยายจะไปถือศิลนุ่งขาวห่มขาวที่วัด โดยยายจะเตรียมตัวเตรียมข้าวของเพื่อเดิมทางไปที่วัดตั้งแต่ตี 3 เห็นจะได้ พอเวลาใกล้จะตี5 ผู้เป็นยายก็จะเรียกบอกให้หลานรับรู้ว่ายายได้เดินทางไปที่วัดแล้ว ซึ่งจริงๆตัววัดอยู่ในหมู่บ้านยายใช้เวลาเดินทางไปวัดประมาณสัก 20-30 นาที แต่ระหว่างทางก็จะเดินผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน ก็จะได้เจอกับชาวบ้านที่เตรียมตัวออกไปปฏิบัติธรรมที่วัดเช่นกัน นี่จึงถือเป็นเรื่องปกติของคนในหมู่บ้านนี้
ในวันที่ผู้เป็นยายไปปฏิบัติธรรมต้องนอนค้างคืนที่วัด เด็กน้อยจะมีลูกพี่ลูกน้องมานอนด้วย หรือบางครั้งก็จะนอนเพียงคนเดียว เธอไม่ได้มีความหวาดกลัวแต่อย่างใด อาจจะจะด้วยความเคยชินหรือเพราะความชอบก็ไม่อาจรู้ได้ มีอยู่วันพระใหญ่หนึ่งที่ผู้เป็นยายไปปฏิบัตินอนค้างที่วัดเช่นเคย เด็กน้อยนอนอยู่บ้านกับญาติผู้พี่ที่มีอายุห่างกับเธอประมาณ 5ปี ได้ แต่อยู่ๆเด็กน้อยก็จะตื่นขึ้นมากลางดึก…
เหมือนเธอจะได้ยินเสียงอะไรที่ไม่คุ้นหู ท่ามกลางความเงียบในเวลาดึกประกอบกับเสียงลมพัดมาเป็นระยะอย่างแผ่วเบา กลับมีเสียงฮึมฮัมในลำคอ เป็นเสียงที่ชวนให้ขนหัวลุก ภายใต้ความเงียบที่แทบจะได้ยินเพียงเสียงหายใจของตนเอง แต่ด้วยความอยากรู้ที่มาของเสียงนั้นเด็กน้อยจึงเลือกที่จะมองออกไปมองยังนอกหน้าต่างบ้านไม้ที่ยกสูง และสิ่งที่ดวงตาคู่น้อยได้พบเจอมันคือดวงไฟขนาดใหญ่เท่าลูกโป่งที่เป่าลมจนเต็ม
…สีของมันเป็นสีแดงอมส้มแต่มีดูเหมือนลูกไฟดวงนั้นจะเลืองเสียงด้วย ได้เห็นอย่างนั้นแล้วเด็กน้อยเอาแต่นิ่งมองตามดวงไฟนั้นตาไม่กระพริบ จนดวงไฟนั้นไปหยุดอยู่ตรงต้นข่อยหน้าบ้านหลังหนึ่งที่อยู่เยื่องกับบ้านของคุณยาย พอดวงไฟไปหยุดอยู่ตรงต้นค่อยสักพักเหมือนดวงไฟนั้นจะหายเข้าไปในต้นข่อยต้นนั้นทั้นที่ ในตอนนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความงุนงงให้เก็บเด็กสาวเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ผู้เป็นยายกลับจากวัดเด็กหญิงก็ได้เล่นเรื่องที่ได้พบเจอให้กับยายของเธอฟัง “ยายๆเมื่อคืนหนูเห็นดวงไฟเหมือนลูกโป่งสีแดดดวงใหญ่ลอยเข้าไปในในต้นข่อยหน้าบ้านยายหมายด้วย” เมื่อผู้เป็นยายได้ยินแบบนั้นก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่ยายจะเอ่ยตอบหลานสาวไปว่า “ไม่มีอะไรหรอกเอ็งคงจะตาฝาด หรือไม่ก็คงจะเป็นลูกโป่งจากงานวัดที่ไหนหลุดลอยมานั่นแหละ”
ถึงแม้ผู้เป็นยายจะตอบมาแบบนั้นก็ตามหลานสาวก็ยังไม่เชื่อที่ยายพูด หาเหตุผลต่างๆมาอธิบายกับผู้เป็นยาย แต่ในท้ายที่สุดผู้เป็นยายก็ตัดบทการสนทนาด้วยการหาไม้เรียวมาขู่หลายเพื่อให้หยุดพูด พร้อมทั้งสั่งห้ามไม่ให้เอาเรื่องเลวใหลไปเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด ด้วยความกลัวเด็กหญิงจึงรับปากไป
แต่ในใจของเด็กหญิงก็ยังไม่เชื่อที่ยายบอก และยังคิดไปว่าหากตายังอยู่ตาจะต้องเชื่อเรื่องที่เธอเล่าอย่างแน่นอน วันเวลาผ่านไปเด็กน้อยในเวลาก่อนเข้านอนเธอยังคงแอบมองต้นข่อยต้นนั้นอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เห็นว่าจะได้พบดวงไฟนั้นอีก
หลายวันผ่านไปพอกับแม่ของเด็กน้อยได้ตัดสินใจกลับมาอยู่บ้าน ลาออกจากที่ทำงานในกรุงเทพด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง ความจริงบ้านของพ่อแม่เด็กสาวสร้างไว้เสร็จนานแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ปล่อยให้คนมาเช่าอยู่ แต่ตอนนี้ครอบครัวของเธอจะเข้ามาอยู่เอง
แต่ถึงพ่อแม่จะกลับมาอยู่กับเธอแล้วก็ตาม แต่น้ำตาลก็ยังมานอนกับผู้เป็นยายทุกวัน ด้วยความเคยชินและความเป็นห่วงยายนั่นเอง หลายๆครั้งที่มีคนมักจะพูดว่า “น้ำตาลมันรักตายานมากกว่าพ่อแม่มัน” ใช่และเธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เพราะเธอถูกเลี้ยงด้วยตากับยายดังนั้นความทรงจำในชีวิตเธอจึงมีแต่ตากับยาย

 

เวลาผ่านไปประมาณเดือนหนึ่งได้หลังจากที่พ่อแม่ของน้ำตาลย้ายมาอยู่ที่บ้าน วันนี้เป็นวันพระใหญ่ยายจึงไปปฏิบัติธรรมที่วัดเหมือนเช่นเคย วันนี้น้ำตาลจึงต้องนอนอยู่ที่บ้านของตัวเอง แต่ต้องบอกว่าบ้านน้ำตาลอยู่ไม่ไกลกับบ้านยายเลย สังคมชนบทส่วนใหญ่บ้าานลูกหลานก็จะสร้างติดๆกัน เพราะเป็นการแบ่งที่ดินจากพ่อแม่ให้กับลูกๆสำหรับการสร้างบ้าน
อธิบายคร่าวๆถ้าเราหันหน้าเข้าหาบ้านตายาย ฝั่งขวามือจะเป็นบ้านของครอบครัวลุงคนโต ซึ่งท่านเป็นลูกชายคนโตและเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านมีชื่อว่าลุงแดง ฝั่งซ้ายของบ้านตายายจะเป็นบ้านของป้าคนรอง (ลูกคนที่2) ชื่อป้ามะลิ ถัดจากบ้านป้ามะลิก็จะเป็นบ้านของครอบครัวของน้ำตาล แม่ของเธอเป็นลูกคนที่ 5 ส่วนป้าคนที่ 3 ชื่อป้าอัน จะอยู่ทางฝั่งขวามือนับจากบ้านลุงแดงไปอีก 5 หลัง
ลูกคนที่ 4 และ 6 ของตายายเป็นลูกสาวเช่นกัน แต่เข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ จะกลับมาก็ช่วงเทศกาลปีใหม่หรือสงกรานต์ ที่อธิบายที่ตั้งมาแบบนี้เพียงเพื่อจะให้เห็นภาพว่าบ้านของน้ำตาลนั้นอยู่ตรงข้ามกับบ้านของยายหมาย!! ต้นข่อยหน้าบ้านที่น้ำตาลเคยเห็นดวงไฟหายเข้าไปนั้นอยู่ห่างจากบ้านเธอไม่ถึง 6 ก้าว ในกลางดึกวันนั้นน้ำตาลต้องมานอนกับแม่ที่บ้าน ยายไปปฏิบัติธรรมที่วัด ส่วนพ่อของน้ำตาลก็ไปนอนที่บ้านปู่ย่า เพราะทั้งปู่ย่าไปวัดทั้งคู่ื
น้ำตาลสะดุ้งตื่นในกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรมารัดตัวเธอจนรู้สึกหายใจไม่ออก แต่เมื่อเธอลืมตาก็พบว่าผู้เป็นแม่กอดเธอเเน่น และตัวสั่นมือไม่สั่นไปหมด เหมือนแม่ของเธอจะพยายามหลับตา ขมตาให้ตัวเองนอนหลับอย่างไงอย่างนั้น พอเห็นแบบนั้นน้ำตาลจึงหัดไปทางประตูหน้าบ้านของเธอ จึงเห็นดวงไฟลูกนั้นที่เธอเคยเห็น เหมือนมันจะพึ่งลอยออกจากหน้าบ้านเธอกลับไปยังต้นข่อย
เนื่องจากประตูหน้าบ้านของน้ำตาลเป็นประตูกระจกเลื่อน สามารถมองเห็นข้างนอกได้อย่างชัดเจน เธอจึงเห็นเหตุการณ์ต่างๆและพอจะเดาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ได้
เช้าวันต่อมาน้ำตาลได้ยินแม่ของเธอนำเรื่องที่ได้พบเจอในตอนช่วงตี 2 จะตี 3 ให้ผู้เป็นยายฟังด้วยความหวาดกลัว เพราะเเม่ของน้ำตาลพึ่งมาอยู่บ้านได้แค่เดือนเดียวก็เจอเรื่องแบบนี้ซะแล้ว ผู้เป็นยายก็ได้แต่นิ่งเงียบ และพูดขึ้นว่า “เอาหละเดี๋ยวแม่ไปบอกยายหมายกับพ่อใหญ่กาญก่อน” หลังจากนั้นไม่กี่วันต้นข่อยต้นนั้นก็เหมือนจะโดนตัดกิ่งก้านไปบ้างส่วนและมีธูปเทียนของทำพิธีอะไรสักอย่างวางอยู่ที่โคนต้น แต่ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ยอมเล่าอะไรให้เด็กๆฟัง
จนมีเหตุการประหลาดเกิดขึ้นกับตัวน้ำตาลหลายต่อหลายครั้ง น้ำตาลมักจะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอเรียเสียงดังเหมือนต้องการให้เธอขานตอบกลับไป และจะเรียกในเวลาเดิมๆซ้ำๆ นั่นก็คือเวลาพบค่ำที่ตะวันกำลังจะตกดิน และในเวลากลางดึกเวลาราวตี2 ได้ แรกๆเธอก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อมันบ่อยครั้งเข้าเธอจึงพูดเอ่ยถามกลางวงกินข้าวของในเย็นวันหนึ่ง “ทำไมยายกับแม่ชอบตะโกนเรียกตาลแล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ วิ่งตามเสียงไปก็ไม่เจอ พอถามก็บอกว่าไม่ได้เรียก กำลังแกล้งตาลกันอยู่ใช่ไหม? ”

 

ผู้เป็นยายได้ยินดังนั้นจึงถามย้ำอีกครั้งว่าเสียงที่หลานได้ยินเป็นเสียงของใครเรียก น้ำตาลเลยเล่าให้ฟังว่าเป็นเสียงแม่กับเสียงยาย และเสียงเรียกมันดังชัดเจน ไม่ได้หูฝาดอย่างแน่นอน แต่พอเดินออกไปดูก็ไม่เจอใครเลย…
สิ้นเสียงหลานสาวที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้คนในครอบครัวฟัง ยายรีบบอกให้แม่ต่อสายไปหาพ่อใหญ่กาญทันที หลังจากวางสายยายบอกกับน้ำตาลว่า “ต่อไปหากได้ยินเสียงคนเรียก ไม่ว่าจะเป็นยายหรือเสียงแม่ หรือเสียงเรียกใครก็ตามห้ามขานตอบเด็ดขาด ให้เดินไปดูตามเสียงก่อนถ้าเห็นว่าเป็นเจ้าของเสียงค่อยพูดคุยได้ ” น้ำตาลทำหน้างงุนงงปนสงสัย ยายจึงเน้นย้ำอีกครั้งว่า “น้ำตาลเข้าใจใช่ไหม” เด็กน้อยจึงพยักหน้าเป็นตอบรับส่งที่ผู้เป็นยายเล่า
หลังจากนั้นผู้ใหญ่ก็เหมือนออกไปคุยกันข้างนอกบ้านเหมือนไม่ต้องการให้น้ำตาลได้ยิน แต่สีหน้าท่าทางต่างๆทำให้น้ำตาลมั่นใจว่าทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องของเธออยู่  ก่อนที่ยายจะเดินกลับมาถามน้ำตาลว่าก่อนหน้านี้ที่ได้ยินเสียงเรียกน้ำตาลเคย ขานตอบกลับไปไหม หลังจากที่น้ำตาลคิดอยู่พักนึงเธอก็จำได้ว่าเธอเคย ขานตอบกลับไป 1ครั้ง ตอบกลับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมองแต่พอเธอตอบกลับแล้วอีกฝ่ายเงียบเลยเดินออกไปดู แต่ก็ไม่เจอใครอยู่หน้าบ้านเลย
ยายเริ่มทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเน้นเรื่องเดิมว่าห้ามขานรับเสียงที่เรียกหากไม่เห็นตัวของเจ้าของเสียง จำให้ขึ้นใจแม้ในตอนที่หลับ หรือเป็นเรื่องความฝันก็ตาม…

 

เวลาผ่านไปได้ไม่ถึงสัปดาห์ในวันนั้นน้ำตาลพึ่งตื่นนอนและจำได้แม่นว่าจะต้องไปคุยกับยายในตอนนั้นเลย เธอเดินลงมาจากบ้านก็เห็นว่ายายกำลังก่อไฟเตรียมนึ่งข้าวเหนียวอยู่ เธอจึงนั่งรอให้ยายทำอะไรเสร็จก่อนที่ยายจะมานั่งข้างๆ ยายพูดขึ้นมาก่อนว่ามีเรื่องจะเล่าให้ยายฟังใช่ไหม น้ำตาลรู้สึกตกใจที่ยายรู้ว่าเธอต้องการจะเล่าเรื่องบางอย่างให้ยายฟัง…

แล้วน้ำตาลก็เริ่มเล่าว่าเมื่อเธอจำได้ว่าเธอฟันถึงผู้หญิงคนนึงมาเรียกเธอ เเละชวนเธอไปอยู่ด้วย หญิงคนนั้นอายุน่าจะพอๆกับคุณยายเลย เขามีหน้าตายิ้มแย้มดูเป็นคนใจดีมากๆ แถมยังบอกอีกว่าที่ๆเขาจะพาไปคุณตาก็อยู่ที่นั่นด้วย ในความฝันน้ำตาลตอบหญิงคนนั้นไปว่า “ถ้าเธอไปแล้วยายจะอยู่กับใคร”
หญิงคนนั้นจึงยิ้มให้น้ำตาลก่อนจะบอกว่า “เดี๋ยวยายของเธอก็จะไปกับเราด้วย”
รอยยิ้นในตอนนี้ของเธอมันไม่ดูใจดีเหมือนในตอนแรกเลยสักนิด แต่รอยยิ้มนี้มันเต็มไปด้วยความน่ากลัว ชวนขนลุกแปลกๆ ยิ่งดวงตาคู่นั้นที่เธอมองมาที่น้ำตาลมันไม่ใช้สายตาที่เชิญชวน แต่เป็นสายตาที่บ่งบอกถึงการบังคับหรือคำสั่งที่น้ำตาลจะต้องทำตามอย่างไรอย่างนั้น
เหตุการณ์ในความฝันเริ่มตึงเครียด เพราะน้ำตาลไม่ยอดตอบตกลง เพียงแค่เธอตอบว่า “ไป” แค่คำนี้คำเดียวทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล…

 

ขณะที่น้ำตาลเล่ายายกับมีท่าที่ที่ไม่ได้ตกใจหรือกังวลอะไร ยายนั่งฝั่งเงียบๆแต่ก็ไม่ได้ขัดในการเล่าของน้ำตาลแต่อย่างใด เมื่อน้ำตาลเล่ามาถึงตอนท้านที่เธอได้สนทนากับหญิงคนนั้นว่าเธอปฏิเสธไม่ยอมไปกับหญิงปริศนา ท่าทางของหญิงคนนั้นไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราดแต่อย่างใด แต่เห็นได้ว่าเธอไม่พอใจ ก่อนที่เธอจะจากไปเธอพูดขึ้นประโยคนึง “หนีกูไม่พ้นหรอก ไม่เชื่อก็คอยดู” หลังจากสิ้นเสียงน้ำตาลก็สะดุ้งตื่น
เล่าจบยายก็ยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า “ยายรู้แล้ว” เมื่อคืนน้ำตาลละเมอพูดออกมาทั้งหมด ยายจึงพอจะเดาออกว่าน้ำตาลกำลังเจอกับอะไรอยู่ แต่ยายไม่สามารถปลุกน้ำตาลในตอนนั้นได้ในทันที ไม่งั้นอาจทำให้น้ำตาลติดอยู่ในนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งจะแก้ไขยาก
ยังถือว่าน้ำตาลยังโชคดีที่ไม่ได้ตอบตกลงไปกับผู้หญิงที่มาปรากฎตัวในฝัน แต่วันเวลาผ่านไปได้ไม่นานในตอนเช้าตรู่น้ำตาลก็ได้ยินเสียงเรียกของผู้เป็นยาย เธอสะดุ้งตื่นแต่ยังไม่ได้ขาดรับออกไปเพราะงัวเงียกับอาการของคนพึ่งตื่นนอน เธอเดินลงจากบ้านเพื่อไปหาเจ้าของเสียง น้ำตาลเห็นเป็นยายของเธอที่ยืนเรียกเธอให้ไปกับท่าน ในเวลานั้นน่าจะยังไม่ถึง 6โมงเช้า น้ำตาลจึงตะโกนถามยายไปว่า “เช้าขนาดนี้ยายจะพาตาลไปไหน”
แต่แล้วยายก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่เดิมนำหน้าเธอไป น้ำตาลก้าวขาเดินตามไปได้ยังไม่ถึง 3 ก้าวก็ต้องหยุดเดิน เพราะเธอได้ยินเสียงเรียกจากผู้เป็นยายดังมาจากด้านหลัง “จะเป็นไปได้ไงเมื่อยายเธอเดินนำหน้าเธออยู่” น้ำตาลจึงหันหลังกลับไปมองยังต้นเสียงที่ได้ยิน ภาพที่น้ำตาลเห็นคือผู้เป็นยายถือใบอะไรสักอย่างอยู่ในมือ มืออีกข้างมีก้านมะยมอยู่ในมือ นั่นทำให้น้ำตาลรู้ได้ทันที่ว่านี้คือยายของเธอตัวจริง…

 

ผู้เป็นยายทั้งด่าทั้งฝาดก้านมะยมเหมือนเป็นการขู่ใครคนนั้น พอน้ำตาลหันกลับไปมองที่หน้าบ้านเธอก็ไม่เจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว ในตอนนี้น้ำตาลรีบวิ่งมาหลบหลังยายแล้วจึงได้เห็นว่าในมือของยายถือ “ใบหนาด” และ “ก้านมะยม” ไว้เพื่อใช้ขู่และไล่ให้หญิงคนนั้นไปจากบ้าน
ผ่านเหตุการครั้งนั้นมาน้ำตาลไม่เคยได้พบกับหญิงคนนั้นอีกเลยทั้งในความฝัน หรือในโลกของความเป็นจริง ทุกอย่างเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่ทว่าน้ำตาลกลับรู้สึกว่าผู้เป็นยายทำตัวแปลกไป เอาแต่นอนไม่ยอมออกไปไหน ไม่ค่อยอยากพบเจอใครซึ่งตัวเธอเองก็ไม่เข้าใจ น้ำตาลคิดไปต่างๆนาๆว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เธอเห็นสายตาของผู้เป็นยายที่รู้สึกได้ว่านั้นไม่ใช่ยาย!!!

 

ทุกคนลงความเห็นว่าจะพายายไปหาพระครูที่ทางครอบครัวนับถือ พระครูท่านมีวิชาพอตัวท่านมี สัมผัสพิเศษ หรือที่เรีกกันว่า the6sense นั่นแหละแต่ยายก็ไม่ยอมไปท่าเดียวขอร้องให้ลงมาตักบาตรตอนเช้ายาายก็ปฏิเสธ ทั้งที่การตักบาตรตอนเช้าเป็นกิจวัตรที่ยายทำทุกวัน เมื่อเป็นแบบนี้น้องสาวของยายจึงออกอุบายแส้พูดกับยายไปว่า “ถ้าอย่างงั้นก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลสักหน่อย ทุกคนจะได้สบายใจว่าพี่ไม่เป็นอะไร”
เหตุการณ์บังคับให้ยายต้องยอมไปหาหมอแต่โดยดี โดยคนที่เดินทางไปด้วยจะมี ยาย น้องสาวยาย และน้องชายคนเล็กซึ่งเป็นน้องชายต่างแม่ของยาย รวมแล้วก็ 3 คน แต่ระหว่างนั่งรถไปนั้นน้องสาวของยายก็บอกว่าขอแวะไปเอาของก่อน ยายก็ไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่มองเส้นทางข้างนอกเหมือนกำลังระแวงอะไรอยู่ พอน้องชายของยายเลี้ยวรถเข้ามายังสถานที่ที่บอกว่าต้องแวะเอาของก่อน กลับเป็นรถจอดอยู่ในบริเวณวัด!!!

 

ตอนนี้ยายเริ่มตัวสั้นแต่ไม่ได้โวยวายอะไร ท่าทางเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง น้องสาวยายพยายามจูงมือยายเข้าไปยังศาลาที่พระครูท่านนั่งอยู๋ ทันทีที่ยายเห็นพระครูยายก็รีบหลบหลังน้องสาวทันที เมื่อได้เจอกับพระครูท่านก็มองสักพักก็ทักทยคำแรกว่า “ตั้งใจมามา3คน แต่ตามมาด้วยเลยเป็น4คนเลยเน๊าะ” แล้วท่านก็ยิ้มและมองมาที่ยาย หลังจากนั้นยายก็เอาแต่หลบหลังน้องสาวและก้มหน้าก้มตา พระครูท่านจึงเดินไปจุดธูปเทียนและหยิบเอาไม้ที่มีลักษณะเหมือนไม้เท้าที่ได้มาจากเถาวัลย์หรือหวายอะไรสักอย่าง
แล้วเริ่มเคี้ยวหมากพลูสวดบทสวดพึมพำอยู่ครู่นึง ก่อนที่ท่านจะเอาไม้ที่อยู่ในเมื่อชี้ไปทางยายแล้วพูดขึ้นว่า “มึงมาจากไหนก็ให้มึงกลับไปที่ของมึง” “เจ้าของร่างเขาไม่ยินยอมและกูก็จะไม่ปราณีหากมึงยังดึงดันจะเอาให้ได้”
แววตาท่าทางของพระครูในตอนที่พูดน้องชายของยายบอกว่าน่ากลัวมาก น้ำเสียงดูดุ มีพลัง จนทำเอาน้องชายยายก็ไม่กล้าจะสบสายตา ในตอนแรกตัวของยายก็ดูสั่นและกลัวแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ เมื่อพระครูเห็นแบบนั้นท่านจึงฝาดไม้ที่อยู่ในมือลงที่พื้นเสียงดัง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “มึงไม่ยอมไปดีๆใช่ไหม ต้องให้กูบอกชื่อแซ่ของมึงก่อนใช่ไหมมึงถึงจะยอมไป” ในตอนนี้ทั้งพระครูและยายต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันตาแบบไม่มีใครยอมใคร
ระหว่างนั้นน้องชายก็สังเกตุเห็นว่าพระครูท่านเหมือนจะกำลังสวดอะไรไปด้วย จนในท้ายที่สุดก็เป็นยายที่กรีดร้องเหมือนเจ็บปวดอย่างมากแล้วก็สลบไป หลังจากยายได้สติ พระครูก็เริ่มเล่าว่ามันไปแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว แต่จะทำอะไรก็ใครอยู่ในศีลในธรรม วิญญาณที่ยายกับน้ำตาลเจอก็คือ ปอป เพราะเจ้าของเลี้ยงดูไม่ดีเลยออกมาหาอาหารกินเอง และคนที่ได้พบเจอกับมันแบบซึ่งๆหน้าแบบนี้ด้วยแล้วมันเลยจ้องจะเล่นงาน
ว่าแล้วพระครูท่านก็ได้มอบสร้อยสายสิญจน์ให้กับยาย และฝากกำไรสายสิญจน์มาให้น้ำตาล พร้อมกำชับว่าห้ามถอดออกเด็ดขาด วันพระใหญ่ก็ต้องระวังตัวดึกดื่นอย่าออกจากบ้าน ถ้าให้ดีให้สวดมนต์ก่อนนอน หากถึงเวลาคับขันให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สำคัญให้นึกถึงพ่อแม่บิดรมารดาขอให้ท่านช่วยปกป้อมคุ้มครอง…
พูดจบพระครูท่านกำลังจะลุกเดินออกไปจากบริเวณนั้น น้องสาวของยายจึงเอ่ยถามพระครูไปว่า “แล้ววิญญาณที่สิงตัวพี่สาวอิฉันคือปอบใช่ไหม แล้วมันจะกลับมาอีกไหม ท่านรู้ว่ามันเป็นใครใช่หรือไม่”
สิ้นคำถามนั้นท่านพระครูจึงหันกลับมาตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มๆเหมือนในตอนแรกว่า เราบอกไม่ได้หรอกว่าชื่อเสียงเขาคืออะไร แต่ไม่ต้องกังวลไปเขาคงไม่กลับมาแล้ว และตอนนี้พี่สาวโยนยังไม่เป็นอะไรเพราะมีของดีที่ช่วยคุ้มครองตัวอยู่ น้องชายยายเลยแย้งขึ้นว่าแต่ปอดตนนั้นก็มาวนเวียนสักพักแล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เป็นอะไร พระครูจึงกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าแค่ “ปอบเลีย”

โปรดติดตามตอนต่อไป