ผีปอบ วิญญาณร้ายที่สิงสู่ร่างมนุษย์ กัดกินตับ ไต ไส้ พุง พอสมดั่งใจปรารถนาก็หาร่างใหม่ กัดกินอวัยวะภายในแล้วปล่อยให้ร่างนั้นตายอย่างน่าอนาถ
ปอบ เป็นวิญญาณ หรือ ผีร้าย ที่เล่าลือกันว่า กินของสดเป็นอาหาร ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ วัว ควาย หรือแม้กระทั้ง มนุษย์ หากเป็นมนุษย์จะใช้การ สิงร่าง ของคนผู้นั้น แล้วกินเครื่องใน ตับ ไต ไส้ พุง จนกว่าร่างนั้นจะไม่เหลืออวัยวะของในแล้ว ปอบร้าย ถึงจะยอมปล่อยร่างนั้นไป แต่เมื่อใดที่ วิญญาณผีร้าย ออกจากร่างคนผู้นั้น แน่นอนว่าร่างที่โดนสิงในขณะนันก็จะตายลงในที่สุด
หากยังโชคดีอยู่บ้างคนรอบข้างรู้ทัน ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ปอบสิง อยู่ในคนผู้นั้นแล้ว สามาารถช่วยเหลือหาวิธีแก้ไขได้ทันท่วงที คนที่โดน ผีสิงร่าง ก็อาจจะไม่ได้รับอันตรายใดๆก็ได้ หรือบางคนที่ได้รับการสิงสู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็อาจจะเกิดอาการ หลอน กลางเป็นคนบ้า สติไม่ดี ขวัญหายไปเลยก็มี
ว่ากันว่า ปอบ เป็นวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นจาก ของต่ำ หรือพวกที่ เล่นคุณไสย แล้วรักษาของไม่ได้ เลยทำให้ของเข้าตัวผู้เป็นเจ้าของ บ้างก็ว่าเพราะคนที่มี คาถาอาคม ผู้ใดทำผิดกดหรือข้อห้ามจะเรียกว่า ผิดครู ก็คงจะไม่ผิดเลยรักษาของที่มีอยู่ไม่ได้ เมื่อกลายเป็น วิญญาณร้าย แน่นอนว่าก็ต้องมีฤทธิ์เดชในการที่จะทำร้ายผู้คน
อาจจะด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะด้วย ความหิวโหย ผู้ที่เป็นปอบต้องกิน เลือดสด ของสด กินเครื่องในทั้งสัตว์ และมนุษย์ บางรายก็เป็น ปอบธรรมดา ที่เมื่อร่างตาย วิญญาณปอบ ตนนั้นก็จะตายตามไปด้วย
บางประเภทก็จะเป็น ปอบเชื้อ ที่ถ่ายถอดมาจากต้นตระกูลบรรพบุรุษ ปอบปรระเภทนี้จะไม่สามารถหลีกหนีความจริงได้ ในตระกูลนั้นๆจะต้องมีผู้สืบถอด และผู้ที่จะสืบถอดจะเป็น ผู้หญิง ตามความเชื่อสมัยก่อน ร่างที่ถูกเลือกจะต้องยังอยู่ใน เพศพรมจรรย์ อายุอยู่ในช่วง 20 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้นตามแต่จะถูกเลือก ผู้ถูกเลือก จะไม่สามารถหลีกหนีเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สามารถหนีความจริงในเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยินยอมก็ตาม
แล้ว ผีปอบเชื้อ ทำไม่ถึงมี ทำไมบรรพบุรุษจึงรับมา เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ข้อเทจจริงได้ อาจจะด้วยการทำผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดนคำสาป หรือการเต็มใจ รับขันธ์ปอบ มาโดยสมัครใจโดยแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการมาครอบครองจึงยอมขายจิตวิญญาณ จนติดตัวมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานที่ไม่ได้รับรู้อะไรด้วย
หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่า คนเล่นของ หรือพวกที่มี คาถาอาคม เรียนสายดำพวกเรีบย อวิชชา มักจะมีการ เลี้ยงผี ไว้เป็นบริวาร เพื่อเป็นการปกป้องตนเอง และเลี้ยงไว้ใช้งาน บางรายจะเลี้ยง ผีปอบ ไว้เป็นบริวารเพื่อใช้งานในการทำร้ายผู้อื่น หรือ ทำคุณไสย
คนที่มีวิชาอาคมในคืน วันพระวันโกน จำเป็นจะต้อง ปล่อยของ ออกจากตัวเองเพื่อไม่ให้ คาถาอาคม พวก อวิชชา ในตัวเองไม่ทำลายตนเอง ในคืนนี้คนโบราณมักจะบอกให้ลูกหลานรีบเข้าบ้าน ไม่ออกมาตอนหลังตะวันตกดิน เพราะอาจจะทำให้โดน ลมเพลมพัด จากของต่ำ ภูติผี ปีศาจ วิญญาณอาฆาต มาเล่นงาน
คนที่กำลัง ดวงตก หรือ จิตตก หากไม่ระวังตัวอาจจะ โดนลมเพลมพัด ได้ง่ายกว่าคนปกติ เพราะสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นจะมีอิทธิพล สามารถควบคุมความรู้สึกนึกคิดคนผู้นั้นได้ ส่วนใหญ่แล้วเมื่อโดนของ อวิชชาเข้าตัว คนผู้นั้นจะสติฝั่นเฟือง เป็นบ้า หรือ พูดจาไม่รู้เรื่อง ระแวงหวาดกลัวทุกอย่างรอบตัว บางรายก็สามารถมองเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น ไม่ว่าจะเป็น เห็นผี สามารถติดต่อสื่อสารกับ สิ่งลี้ลับ ได้ พูดอีกในนึงคือการเป็น คนเห็นผี ที่สามารถ มองเห็นผี ได้นั่นเอง
วันนี้แอดมีอีกหนึ่ง เรื่องจริง มีเล่าให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน เกี่ยวกับวิญญาณร้าย ปอบเข้าสิง เมื่อประมาณ 25 ปีที่แล้ว ราว ๆ ปี 2542 มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้กันดารมากนัก แต่ใครจะคิดว่าเรื่องความ พิศวง จะเกิดขึ้นได้ เมื่ออยู่มาวันหนึ่งในช่วงประมาน 4 โมงเย็นของวันนั้น มีผู้คนแตกตื่นและออกไปที่วัด คนแถวนั้นจะเรียกวันนี้ว่า วัดบ้าน เพราะหมู่บ้านจะมีสัดในระแวกอยู่ 2 วัดด้วยกัน คือ วัดบ้าน กับ วัดป่า
ผู้คนเอะอะโวยวายเมื่ออยู่ๆก็มี ย่าเฒ่า อายุกว่า 90 ปี ที่นอนเป็นอัมพาตมากว่า 20ปีแล้ว แถมยังตาบอดทั้ง 2 ข้าง ปกติท่านจะนอนอยู่บ้านลุกไปไหนไม่ได้ ในวันนั้นอยู่ๆ ท่านก็ลุกขึ้นเดินไปยัง วัดบ้าน และตรงไปยัง ศาลปู่ตา ก่อนจะหยุดนิ่งและชี้นิ้วไปยัง ศาลประจำหมู่บ้าน ย่าเฒ่าผู้นี้ทำการด่าท้อ สาปแช่งต่างๆนานา ก่อนที่ทางผู้มีความรู้จะเข้ามาดูเหตุการ
และได้เชิญ หลวงพ่อ ผู้มีวิชาด้านนี้มาดู ท่านกล่างว่า นั่นไม่ใช่ย่าเฒ่าแต่มันคือปอบที่อาศัยอยู่ในหมูบ้าน
พอหลวงพ่อกล่สวเช่นนั้นย่าเฒ่าก็หันไปมองตามเสียงด้วยแววตาที่ น่ากลัว น่าสยดสยอง ท่านจึงใช้ แซ่หวาย ของท่านฟาดลงฟื้นขู่วิญญาณที่ สิ่งร่าง ย่าเฒ่าอยู่
ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่าย่าเฒ่า โดนผีเข้า และผีตนน้้นยังเป็น ปอบอาฆาต ที่อยู่ในหมู่บ้านนี่เอง ประเด็นสำคัญเลยคือ
ย่าเฒ่าเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ แถมยังตาบอด ไม่มีทางที่ท่านจะเดินมายังวัดและตรงมาที่ ศาลปู่ตาของหมู่บ้าน ได้อย่างแน่นอน ขณะนั้นผู้ใหญ่ไล่เด็กให้กลับเข้าบ้านให้หมด จะมีเหลือผู้คนอยู่ตรงนั้นเพียงไม่กี่คน ซึ่งผู้คนเหล่านั้นคือผู้ที่มี คาถา อาคม หรือเป็นพระเท่านั้น
คนที่อยู่บริเวณรอบจะมีข้อห้ามคือห้ามอ้าปาก โดยเฉพาะผู้หญิง เพื่อป้องกันไม่ให้ปอบย้ายร่างสิ่งสู่ เมื่อถึงเวลาหลวงพ่อได้ท่องคาถา และตะหวัดเเซ่หวายไปมา จนย่าเฒ่าร้องโอดโอยเสียงดังลั่น ทั้งที่จากที่มองดู แซ่หวายไม่ได้โดนร่างกายย่าเฒ่าแต่อย่างใด หลังจากนั้นหลวงพ่อจึงได้ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ถ้าไม่ยอมออกจากร่างนี้ กูจะบอกว่ามึงเป็นใคร ”
เชื่อไหมว่า ผีปอดสิงร่าง ย่าเฒ่าไม่ได้เกรงกลัว แต่กลับด่ากลับจนทำเอาหลวงพ่อต้องขึ้นเสียงดังกลับว่า “ได้ถ้ามึงจะลองดีกับกูก็ได้” หลังจากพูดจบประโยค หลวงพ่อก็เอ่ยนามสกุล *** ซึ่งเป็นนามสกุลของปอบต้นนั้น และนามสกุลนี้ถือเป็นนามสกุลใหญ่ของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ ร่างย่าเฒ่ายังหัวเราะเสียงดังต่อไม่ยอมหยุดหรือมีท่าทีกลัวแต่อย่างใด จนหลวงพอกำลังจะเอ่ยชื่อ…แต่เอ่ยได้เพียงคำขึ้นต้นเท่านั้น
ร่างย่าเฒ่ากรี๊ดดดดดด แล้วนิ่งไปครู่นึงก่อนที่จะ ตาขวาง ใส่ทุกคนตรงนั้น และพูดเสียงก้าวว่า “อย่ายุ่งกับกู ต่างคนต่างอยู่ กูจะทำอะไรอย่าริมาขวาง ไม่งั้นครั้งหน้ามันจะไม่ใช่แค่การสิงร่างอีแก่นี่ แต่ก็จะมาเอาพวกมึงถึงตาย!!!”
สิ้นคำขู่ของร่างย่าเฒ่าแล้ว ร่างย่าเฒ่าก็ล้มลงหมดสติ….
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรีบช่วยกันอุ้มพยุงร่างย่าเฒ่าไปในศาลา ทำพิธี รดน้ำมนต์ และอุ้มท่านกลับมาที่บ้าน เมื่อย่าเฒ่าได้สติตื่นขึ้นมา ย่าเฒ่าก็กลับมาเป็นปกติ คือเดินไม่ได้ ตามองไม่เห็น และพูดจาเสียงเบาฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง เหมือนเช่นทุกวัน
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกพูดถึงไปทั้งอำเภอ แต่คนในหมู่บ้านต่างก็รู้ดีว่า ปอดบ้าน ตนนั้นคือใคร แต่ไม่มีใครที่จะพูดถึง เหมือนเป็น คำต้องห้าม เล่ากันว่าหากเดินผ่านหรือพบเจอคนๆนี้ที่ใดอย่าสบตา และที่สำคัญเขาได้ยินสิ่งที่เรากำลังคิด หากเรื่องนั้นมันเกี่ยวกับตัวเขา ปอบ ตนนั้น….